ทำไม ‘เสียวหมี่’ ขายอีวี 1 แสนคัน ได้กำไรมากกว่า สินค้าเรือธงอย่าง ‘สมาร์ทโฟน’
‘เสียวหมี่’ ทำกำไรจากการ ‘รถอีวี‘ 1 แสนคันภายใน 8 เดือน เพิ่มขึ้น 52% จากไตรมาส 2 ปี 2567 ส่วนสินค้าเรือธงอย่าง ‘สมาร์ทโฟน’ กลับมีกำไรลดลง ทั้งที่ราคาขายถูกกว่าคู่แข่งอย่าง Apple เกือบ 9 เท่า
สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า “เสียวหมี่” (Xiaomi ) ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสัญชาติจีนรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 5.3 พันล้านหยวน หรือราว 2.5 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน โดยธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยผลิตรถยนต์ไฟฟ้าครบ 100,000 คันเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน เพียงไม่กี่เดือนหลังจากเปิดตัวครั้งแรกในเดือนมีนาคม
กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะและโครงการใหม่อื่นๆ มีรายได้มากกว่า 9.6 พันล้านหยวนในไตรมาสที่ 3 ซึ่งเพิ่มขึ้น 52% จากไตรมาสก่อนหน้า การผลิตจำนวนมากช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มผลิตภัณฑ์ขึ้น 1.7% เป็น 17.1%
ทั้งนี้ ผลกำไรของบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วจะขึ้นอยู่กับอัตรากำไรของสมาร์ทโฟนซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท
เล่ย จุน (Lei Jun) ซีอีโอของ Xiaomi กล่าวว่า เทสลา (Tesla) ใช้เวลาถึงเจ็ดปีครึ่งในการขายได้ถึง 100,000 คัน แต่ Xiaomi ใช้เวลาเพียงแค่ 230 วันเท่านั้น และเรียกความสำเร็จของบริษัทว่าเป็น “ปาฏิหาริย์ที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน” ในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์
Xiaomi กำลังก้าวเข้าสู่วงการยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวด้วยการสร้างโรงงานผลิตใหม่ในกรุงปักกิ่ง นอกจากการลงทุนในโรงงานที่ทันสมัยแล้ว Xiaomi ยังได้ดำเนินการดึงผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาร่วมงาน เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการผลิตจะได้มาตรฐานสูงสุด
Gigacasting เป็นเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์แบบใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่หลายแห่งกำลังนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และลดต้นทุนการผลิต
นอกจากนี้ Xiaomi ได้ตัดสินใจปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่สูงขึ้น โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โรงงานผลิต EV ของ Xiaomi ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบการทำงานแบบสองกะ เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตให้มากขึ้น จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในปีนี้อยู่ที่ 120,000 คัน ล่าสุด Xiaomi ได้ปรับเป้าหมายใหม่เป็น 130,000 คัน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในการเติบโตของธุรกิจ
‘สมาร์ทโฟน’ กำไรทิ้งห่างคู่แข่ง
แม้ว่า Xiaomi จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตและปรับเป้าหมายการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าได้สำเร็จ แต่ผลประกอบการโดยรวมในไตรมาสนี้นั้นกลับลดลง โดยอัตรากำไรสุทธิลดลง 1.1% เหลือเพียง 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่กลุ่มธุรกิจสมาร์ทโฟนมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงถึง 4.9% เหลือ 11.7%
ปัญหาหลักที่ทำให้กำไรสุทธิของ Xiaomi ลดลงนั้น เกิดจากความยากลำบากในการปรับราคาขายสมาร์ทโฟนให้สูงขึ้น ในขณะที่คู่แข่งรายใหญ่ เช่น Apple และ Samsung สามารถปรับราคาขายได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย Counterpoint ในฮ่องกง ราคาเฉลี่ยของสมาร์ทโฟน Xiaomi ในไตรมาสล่าสุด อยู่ที่ 1,102 หยวน แม้ว่าจะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่กลับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Xiaomi ยังคงเผชิญกับแรงกดดันในการแข่งขันด้านราคา ขณะที่ราคาเฉลี่ยของ iPhone ของ Apple อยู่ที่ 909 ดอลลาร์ และ Galaxy ของ Samsung มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 295 ดอลลาร์ แต่ Xiaomi มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 148 ดอลลาร์ เท่านั้น
ด้วยอัตรากำไรต่อหน่วยที่คาดว่าจะสูงถึง 50% ของ iPhone ทำให้ Xiaomi มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาและเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมมากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าและขยายฐานลูกค้าในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง
Xiaomi ปล่อยสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ซีรีส์ Xiaomi 15 มาพร้อมชิปเซ็ต Qualcomm รุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยรุ่นเริ่มต้นเปิดตัวที่ราคา 4,499 หยวน สูงกว่ารุ่น Xiaomi 14 ถึง 500 หยวน
การที่ Xiaomi เคยเน้นการจ้างผลิตสินค้าภายนอกเพื่อลดต้นทุน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้าที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว ปัจจุบันบริษัทจึงหันมาเพิ่มการผลิตภายในเพื่อควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานมากขึ้น
อ้างอิง Nikkei