รู้จักว่าที่ รมว.คลังสหรัฐ 'ทำเฮดจ์ฟันด์ สนิทจอร์จ โซรอส เปิดตัวเป็นเกย์'
ทรัมป์เสนอแต่งตั้งผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ 'สก็อตต์ เบสเซนต์' คุมกระทรวงการคลัง พบประวัติไม่ธรรมดาเคยบริหารเงินให้พ่อมดการเงิน 'จอร์จ โซรอส' คาดอาจเป็นรัฐมนตรีที่รวยที่สุดของสหรัฐ และจะเป็น รมว.คลังคนแรกที่เปิดเผยว่าเป็นเกย์
หลังจากพิจารณาแคนดิเดตที่เข้าตาหลายคน ในที่สุดว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้เสนอชื่อแต่งตั้ง "สก็อตต์ เบสเซนต์" (Scott Bessent) วัย 62 ปี ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐคนใหม่แล้ว โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่าเบสเซนต์มีประวัติที่น่าสนใจในหลายมุม ทั้งมาจากสายเฮดจ์ฟันด์จนร่ำรวย เคยบริหารเงินให้ "จอร์จ โซรอส" และยังเป็นคนที่เปิดเผยว่า "เป็นเกย์" ซึ่งเป็นประเด็นที่เคยทำให้ชวดงานราชการมาแล้วหลายครั้ง
"สก็อตต์เป็นผู้สนับสนุนวาระ 'อเมริกาต้องมาก่อน' อย่างแข็งขันมาอย่างยาวนาน" "ในวันก่อนถึงวันครบรอบ 250 ปีของประเทศอันยิ่งใหญ่ของเรา เขาจะช่วยผมนำพาสหรัฐเข้าสู่ยุคทองใหม่ ในขณะที่เราเสริมความแข็งแกร่งให้ในฐานะประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก" ทรัมป์กล่าวหลังการเสนอชื่อ
ทรัมป์ได้พิจารณาเฟ้นหาขุนคลังมาพักใหญ่และพิจารณาแคนดิเดตที่เข้าตาหลายคน เช่น "มาร์ก โรวัน" ผู้จัดการกองทุน Apollo Global Management, "เควิน วาร์ช" อดีตกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ "โฮเวิร์ด ลุตนิก" หัวหน้า(ร่วม)คณะเปลี่ยนผ่านของทรัมป์ ซึ่งรายหลังนี้ได้รับการเสนอชื่อเป็น รมว.พาณิชย์ไปแล้ว
บรรดาพันธมิตรเชื่อว่าทรัมป์เลือกแคนดิเดตที่ได้รับการยอมรับทั้งจากวอลล์สตรีทและจากฐานเสียงเลือกตั้ง เพื่อนำไปสู่การผลักดันใช้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ การยอมรับสกุลเงินดิจิทัล และการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย
หากได้รับการรับรองจากวุฒิสภา เบสเซนต์จะเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีคลังที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสหรัฐ และจะเป็น รมว.คลังคนแรกของสหรัฐที่เป็นเกย์อย่างเปิดเผย โดยเบสเซนต์เคยพูดเอาไว้ว่าเขาต้องการรับใช้ชาติมาตลอด แต่ในช่วงทศวรรษ 1980 ประเด็นเรื่องรสนิยมทางเพศเป็นอุปสรรคทำให้เบสเซนต์ไม่ได้เข้าโรงเรียนนายเรือสหรัฐ (US Naval Academy) และพลาดการเข้ากระทรวงการต่างประเทศหลังหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเยล
เบสเซนต์เคยบริหารเงินให้กับพ่อมดการเงิน "จอร์จ โซรอส" เขาอาศัยอยู่ในลอนดอนและเป็นส่วนหนึ่งของทีมภายใต้การนำของสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ (Stanley Druckenmiller) ซึ่งทำเงินได้ 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 1992 โดยการชอร์ตค่าเงินปอนด์ ซึ่งเป็นการเดิมพันที่มีส่วนบีบให้สกุลเงินนี้ต้องถอนตัวออกจากกลไกอัตราแลกเปลี่ยนของยุโรป และทำให้โซรอสโด่งดังในฐานะพ่อมดการเงินผู้ทำลายธนาคารกลางอังกฤษ
เขาจะเป็นรัฐมนตรีคลังคนที่สองของสหรัฐ ต่อจาก "สตีเวน มนูชิน" ซึ่งเคยทำงานให้กับกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโซรอส
สำนักงานครอบครัวของโซรอสทำกำไรได้ประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายใต้การนำของเบสเซนท์ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการลงทุน หรือประมาณ 13% ต่อปี ตั้งแต่นั้นมาเบสเซนต์ก็บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ "คีย์สแควร์" (Key Square) ซึ่งเริ่มต้นด้วยเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จากโซรอส และได้คืนทุนในภายหลังเมื่อนักลงทุนรายอื่นๆ เริ่มเข้ามามากขึ้น
"ผมคิดว่าเขาจะโดดเด่นมาก" ดรักเคนมิลเลอร์กล่าว "จากการทำงานให้กับผมและจอร์จมาหลายปี ทำให้เขาได้เรียนรู้ทุกสิ่งที่รัฐมนตรีคลังต้องเผชิญ เขามีความรู้ด้านตลาดอย่างลึกซึ้ง และยังเป็นนักวิชาการที่มีความสามารถที่จะทำงานร่วมกับผู้กำหนดนโยบายในแวดวงวิชาการได้ นับเป็นการผสมผสานที่หาได้ยาก"
มุมมองเศรษฐกิจว่าที่รมว.คลัง
ทั้งนี้ในฐานะผู้กำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจสูงสุดของประเทศ เบสเซนต์จะต้องลุยฝ่าดงการเมืองในวอชิงตัน เป็นผู้นำการทูตเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และนำความรู้จากวอลล์สตรีทมาใช้ในสถานการณ์วิกฤต นอกจากนี้ เขายังจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากนักลงทุนและสถาบันการเงินที่คาดหวังเรื่องเสถียรภาพและการคาดเดาทิศทางได้
ในมุมมองต่อ "ค่าเงินดอลลาร์" นั้น เบสเซนต์เป็นผู้สนับสนุนการปรับนโยบายสกุลเงินของสหรัฐ แต่ไม่ได้สนับสนุนแนวทางการทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยในช่วงวาระแรกของการเป็นประธานาธิบดี ทรัมป์ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากเกรงว่าการแข็งค่ามากเกินไปอาจสร้างความเสียหายต่อผู้ผลิตของสหรัฐ และยังพิจารณาให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงจัดการมูลค่าของเงินดอลลาร์อีกด้วย
เบสเซนท์ยอมรับว่าแม้ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจบางส่วน แต่ข้อเสนอบางอย่างของทรัมป์จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
เขาวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในเรื่องการก่อหนี้ของรัฐบาลกลาง และพูดถึงการขยายนโยบาย "Friendshoring" เพื่อสร้างระบบแบบแบ่งชั้นระหว่างพันธมิตรทางการค้า
เป็นที่คาดว่าเบสเซนต์ในฐานะรัฐมนตรีคลังจะให้คำแนะนำแก่ทรัมป์เกี่ยวกับผู้สมัครที่จะดำรงตำแหน่ง "ประธานธนาคารกลางสหรัฐ" (เฟด) เมื่อตำแหน่งดังกล่าวเปิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2026 โดยก่อนหน้านี้เบสเซนต์เคยพูดถึงแนวคิดในการเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่ล่วงหน้าถึง 2 ปี ก่อนที่เจอโรม พาวเวล ประธานคนปัจจุบันจะหมดวาระ เบสเซนท์กล่าวว่าตลาดการเงินจะหันความสนใจไปที่ "ประธานเงาเฟด" แทนที่จะเป็นพาวเวล
เบสเซนต์เคยกล่าวเฟดตอบสนองต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นช้าเกินไปในปี 2021 และวิพากษ์วิจารณ์เฟดสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ที่มา: Bloomberg