เม็กซิโกโต้สหรัฐ เก็บภาษีไม่แก้ปัญหาผู้อพยพ-ยาเสพติด

เม็กซิโกโต้สหรัฐ เก็บภาษีไม่แก้ปัญหาผู้อพยพ-ยาเสพติด

เม็กซิโก จีน และแคนาดา ประสานเสียงตอบโต้ว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ขึ้นภาษี แสดงจุดยืนพร้อมพูดคุยกับสหรัฐ

ซีเอ็นเอ็นรายงาน  ประธานาธิบดี คลอเดีย เชนบอม ของเม็กซิโกตอบโต้เมื่อวันอังคาร (26 พ.ย.) ต่อการที่ว่าที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ขู่ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก 25% โดยเตือนทรัมป์ว่า “การขู่คุกคามหรือการขึ้นภาษีศุลกากรไม่สามารถแก้ไขปัญหาคนอพยพเข้าสหรัฐหรือยาเสพติดได้”

ประธานาธิบดีเชนบอมเปิดฉากการแถลงข่าวประจำวัน ด้วยการอ่านจดหมายถึงทรัมป์ ผู้ขู่ว่าจะจัดเก็บภาษีศุลกากรหากเม็กซิโก ไม่หยุด “อาชญากรและยาเสพติด” ไม่ให้เข้าสู่สหรัฐ

“ประธานาธิบดีทรัมป์ การขู่คุกคามหรือการขึ้นภาษีศุลกากร ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือการใช้ยาเสพติดในสหรัฐได้จำเป็นต้องมี ความร่วมมือและความเข้าใจร่วมกันเพื่อรับมือกับความ ท้าทายที่สำคัญเหล่านี้”

 “การขึ้นภาษีศุลกากรหนึ่งรายการจะหมายถึงการตอบโต้ขึ้นภาษีอีกรายการหนึ่งตามมา และจะดำเนินต่อไปเช่นนี้จนกว่า เราจะทำให้บริษัทร่วมทุนต้องมีความเสี่ยง” เธอกล่าวเสริม โดยอ้างถึงผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั้งของยุโรปและ อเมริกาเองว่า “ตัวอย่างเช่น ผู้ส่งออกรายใหญ่บางรายจากเม็กซิโกไปยังสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เจเนอรัล มอเตอร์ส, สเตลแลนติส และฟอร์ด มอเตอร์ คอมพานี ซึ่งมาลงทุนในเม็กซิโก เมื่อ 80 ปีที่แล้ว” เชนบอมกล่าว 

“เหตุใดจึงต้องเก็บภาษีที่ทำให้พวกเขาเสี่ยงอันตราย เพราะมันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและการสูญเสียตำแหน่งงานใน เม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา” เชนบอมกล่าวเสริมว่าความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของ อเมริกาเหนืออยู่ที่การรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถแข่งขันได้ดีกว่ากลุ่มเศรษฐกิจอื่นๆ

“ฉันเชื่อว่าการเจรจาเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการบรรลุความเข้าใจ สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในประเทศของเรา” เธอกล่าว “ฉันหวังว่าทีมงานของเราจะได้พบกันเร็วๆ นี้”

  •   จีนขู่กลับทรัมป์ไม่มีใครชนะสงครามการค้า

ด้านบีบีซีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนกล่าวตอบโต้ หลังทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 10%ว่า “ไม่มีใครจะ ชนะสงครามการค้าหรือสงครามภาษีได้”

 หลิว เป็งยิว ซึ่งเป็นโฆษกของสถานทูตจีนในวอชิงตัน กล่าว ว่า “จีนเชื่อว่าความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐเป็นประโยชน์ร่วมกัน”

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือนั้นเกิดขึ้นได้ยาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สินค้าส่วนใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายขายให้กันนั้นอยู่ภายใต้ภาษีศุลกากร โดยมี 66.4% ของสินค้าที่นำเข้าจากจีนและ 58.3% ของสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐ ทั้งนี้ เป็นเพราะ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังคงใช้ข้อจำกัดทางการค้าทั้งหมด ที่โดนัลด์ ทรัมป์กำหนดไว้ในวาระแรกของเขา และไบเดน เพิ่มข้อจำกัดทางการค้าของตนเองเข้าไปอีก 

เมื่อพูดถึงประเด็นเรื่องยาเสพติดที่ผลิตในจีนที่เข้าสู่สหรัฐ หลิว กล่าวว่า “การดำเนินการร่วมมือปราบปรามยาเสพติด เป็นหนึ่งในความเข้าใจร่วมกันที่สำคัญระหว่างประธานาธิบดี สีและประธานาธิบดีไบเดนระหว่างการประชุมที่ ซานฟรานซิสโกในปี 2023” การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้พบกันแบบตัวต่อตัวใน ช่วงที่ไบเดนดำรงตำแหน่งเกือบสามปี

หลิวกล่าวต่อว่า “ฝ่ายจีนได้แจ้งให้ฝ่ายสหรัฐ ทราบถึงความ คืบหน้าที่เกิดขึ้นในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ สหรัฐต่อยาเสพติด จีนได้ตอบสนองต่อคำขอของสหรัฐใน การตรวจสอบเบาะแสในกรณีบางกรณีและดำเนินการ ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแนวคิดที่ว่าจีนยอมให้สารตั้งต้น ของเฟนทานิลไหลเข้าสู่สหรัฐโดยรู้เห็นนั้น ขัดข้อเท็จจริงและความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง”

  •  นายกแคนาดาเรียกประชุมครม.รับมือทรัมป์ขึ้นภาษี

 นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดาได้พูดคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ประธานาธิบดีคนใหม่ประกาศแผนการที่จะ เรียกเก็บภาษีนำเข้า 25 % เมื่อเขาอยู่ในทำเนียบขาว

เจ้าหน้าที่รัฐบาลแคนาดาคนหนึ่งระบุว่า นายกทรูโดได้ โทรศัพท์คุยกับทรัมป์ประมาณ 10 นาทีเมื่อคืนวันจันทร์ เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวกล่าวว่าระหว่างการสนทนา นายก รัฐมนตรีแคนาดาได้ชี้ให้เห็นว่าจำนวนผู้อพยพที่ข้าม พรมแดนแคนาดามีน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับพรมแดน สหรัฐฯ-เม็กซิโก รายงานข่าวระบุว่า ทรัมป์และทรูโดได้ “พูด คุยกันอย่างดี” โดยพูดคุยเกี่ยวกับการค้าและความมั่นคง ชายแดน และตกลงที่จะติดต่อกันต่อไป

ทรูโดได้โทรศัพท์พูดคุยอีกครั้งในเช้าวันอังคาร ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ออตตาวา เขากล่าวว่าทั้งคู่ได้พูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ “เข้มข้น และมีประสิทธิผล” ระหว่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา นายกรัฐมนตรีของแคนาดาเน้นย้ำว่าจะมีความร่วมมือภายในรัฐบาลของประเทศในหัวข้อนี้ และกล่าวว่าเขาได้ เรียกประชุมรัฐมนตรีครั้งแรก “เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา” ในเวลา 17.00 น. วันพุธ ตามเวลาท้องถิ่น