จีนคว้าพวงมาลัยการทูตโลก เล่นบทนำ ‘เจรจาพหุภาคี’ ปรับแกนอำนาจ
"สี จิ้นผิง" ฉวยโอกาสเล่นบทนำในการเจรจาแบบพหุภาคคี (Multilateralism) หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" ให้ความสำคัญกับเอกภาคีนิยม (Unilateralism) มากขึ้น
ขณะที่นโยบาย "America First" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐให้ความสำคัญกับการลด “บทบาทนำ” ของสหรัฐกับทั้งโลก ดูเหมือนจีนภายใต้สี จิ้นผิงพร้อมที่จะฉวยโอกาสนี้
ย้อนกลับไปในการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่ประเทศบราซิล สีเผยแนวคิดที่ค่อนข้างทะเยอทะยานเกี่ยวกับการพัฒนารวมทั้งการกำกับดูระเบียบโลกที่มุ่งเน้นการสนับสนุนกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South)
ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงฝันอันยิ่งใหญ่มากของปักกิ่งในการเป็นผู้สนับสนุนการเจรจาทางการทูตแบบ “พหุภาคีนิยม” ในโลกที่กำลังเผชิญกับการแบ่งขั่วรุ่นแรงมากขึ้น
ปักกิ่งในฐานะผู้นำ ‘พหุภาคีนิยม’
แนวคิดของสีที่ประกาศออกมาในการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่ผ่านมาครอบคลุมตั้งแต่การเพิ่มการเงินเพื่อการพัฒนาไปจนถึงความร่วมมือในด้านพลังงานสีเขียว ทั้งสองเป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดของการพยายามสร้าง “พันธมิตร” ของจีนกับกลุ่มประเทศอื่น ขณะที่สหรัฐมุ่งหน้าไปสู่ “ลัทธิแยกตัว” (Isolationism) ภายใต้อิทธิพลของวาทกรรมกีดกันทางการค้าของทรัมป์ ปัจจุบันจีนพยายามแสดงวิสัยทัศน์ทางเลือกสำหรับระเบียบโลกในปัจจุบันซึ่งมีรากฐานมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันและความเป็นปึกแผ่นของประเทศในกลุ่มโกลบอลเซาท์
เห็นได้ชัดเจนว่าปักกิ่งกำลังตรึงบทบาทการนำของตัวเองผ่านเวทีเจรจาแบบพหุภาคีที่จะจัดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า โดยสีวางบทบาทของจีนไว้ว่าเป็นแรงขับที่สร้างเสถียรภาพท่ามกลางแนวโน้มการถอนตัวจากกลุ่มความร่วมมือต่างๆ ของสหรัฐ
ในปี 2025 ปักกิ่งจะเป็นประธานการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organisation: SCO) และเข้าร่วมการประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลาง (China-Central Asia Summit) ครั้งที่สองซึ่งจะจัดขึ้นในคาซัคสถาน
หัวใจสำคัญของความพยายามนี้คือ “ปฏิทินการทูต” ที่แน่นขนัดของจีน ในปี 2025 จีนจะเป็นประธานการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ และเข้าร่วมการประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลางครั้งที่สองที่จัดขึ้นในคาซัคสถาน การประชุมทั้งสองเน้นย้ำถึงอิทธิพลของจีนในยูเรเชียที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นภูมิภาคสำคัญซึ่งมีผลต่อความสำเร็จของโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) และความมั่นคงชายแดนในประเทศ
ความสัมพันธ์จีน-อินเดีย จ่อฟื้น ?
ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ซึ่งประกอบด้วยรัสเซีย อินเดีย อิหร่าน ปากีสถาน รัฐในเอเชียกลางหลายรัฐ และล่าสุดคือเบลารุส ให้โอกาสปักกิ่งในการถ่วงดุลอิทธิพลด้านความมั่นคงของสหรัฐ และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ
(NATO) โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่อิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียลดลงภายใต้แรงกดดันของความขัดแย้งในยูเครน และในอนาคตอันใกล้อาจเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-จีนฟื้นตัวขึ้นจากการประชุมในครั้งนี้
ในขณะเดียวกัน การประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลางที่เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 2023 ที่ซีอาน แสดงให้เห็นถึง “ความไว้วางใจเชิงยุทธศาสตร์” ระหว่างรัสเซีย-จีนที่ลึกซึ้งขึ้น โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลของจีนสู่อดีตกลุ่มประเทศเอเชียกลางซึ่งเคยอยู่ใต้อิทธิพลของรัสเซีย และความสามารถของจีนในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำผ่านการส่งเสริมความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับประเทศที่มีความสำคัญด้านพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ
อิทธิพลที่เติบโตขึ้นของจีนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
นอกเหนือจากยูเรเชีย จีนกำลังขยายอิทธิพลของตัวเองไปยังภูมิภาคสำคัญอื่นๆ ปักกิ่งประกาศในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ครั้งล่าสุดว่าจะเป็นเจ้าภาพการประชุมในปี 2026 ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วมเพิ่มเติมได้แก่เกาหลีใต้ (2025) และเวียดนาม (2027) ภายใต้ฉันทามติร่วมของ APEC ในการสู่การเปิดเสรีทางการค้าและริเริ่มเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วชายขอบแปซิฟิก (Pacific Rim)
ในปีเดียวกัน จีนมีกำหนดจะจัดการประชุมสุดยอดจีน-รัฐอาหรับครั้งที่สอง เพื่อสร้างความเข้มแข็งกับหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลาง และอาจค่อยๆ นำไปสู่กระบวนการแก้ไขความขัดแย้งหรือการบูรณะหลังความขัดแย้งในภูมิภาค
น่าสังเกตว่า รัฐบาลของกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางและโลกอาหรับกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในเป็นหุ้นส่วนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพลังงานของจีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพิจารณาจากการมีส่วนร่วมในโครงการ BRI และการค้าขายในสกุลเงินหยวนที่ขยายตัว
มากไปกว่านั้น หลังจากการประชุมสุดยอดจีน-แอฟริกาที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากในปีนี้ ณ กรุงปักกิ่ง การประชุมสุดยอดจีน-แอฟริกาจะจัดขึ้นในปี 2027 ที่สาธารณรัฐคองโก โดยจีนจะเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของตัวเองต่อการพัฒนาความสัมพันธ์กับแอฟริกา ซึ่งเป็นหัวใจหลักของความพยายามในการส่งเสริมโกลบอลเซาท์เพื่อถ่วงดุลสถาบันที่นำโดยตะวันตก
แม้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยขนบธรรมเนียมทางการทูตก็อาจคาดการณ์ได้ว่า จีนอาจเป็นเจ้าภาพฟอรั่ม BRI ครั้งที่สามในปี 2025 และการประชุมสุดยอด BRICS ในปี 2027 โดยเฉพาะอย่างยิ่งBRICS+ หลังจากความพยายามอย่างแรงกล้าของรัสเซียในการผลักดันระบบการเงินระหว่างประเทศทางเลือกในการประชุมสุดยอด BRICS ปีนี้ที่คาซาน
ท่าทีดังกล่าวอาจทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มในการผลักดันริเริ่มการลดการใช้ดอลลาร์ (De-dollarization) เนื่องจากกลุ่มประเทศ BRICS รวมถึงสมาชิกและหุ้นส่วนใหม่อยู่ในช่วงสำรวจทางเลือกการชำระเงินที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การครอบงำของดอลลาร์สหรัฐ
ประกอบกับ การประชุมเหล่านี้มอบโอกาส “แบบไร้คู่แข่ง” ให้แก่จีนในการรักษาตำแหน่งของตัวเองในฐานะจุดศูนย์กลางของโกลบอลเซาท์และผู้นำการเจรจาทางการทูตแบบพหุภาคีนิยม
การติดต่อกับลาตินอเมริกา
การเยือนประเทศของสี จินผิง ในบราซิลและเปรูระหว่างการประชุมสุดยอด G20 และ APEC ยังแสดงให้เห็น “ปริมาณของความเต็มใจ” ที่ปักกิ่งต้องการจะไปเยือนประเทศดังกล่าวเพื่อรักษาอิทธิพลของตัวเองในละตินอเมริกา
นอกจากนี้ การเปิดท่าเรือ Chancay Port ของสี จินผิงในเปรู ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระดับภูมิภาคที่สำคัญ พร้อมกับการประชุมกับผู้นำชาวลาตินอเมริกาหลายคนนอกรอบ อาจเปิดทางสำหรับการยกระดับฟอรั่ม China-CELAC (ประชาคมรัฐลาตินอเมริกาและแคริบเบียน) ไปสู่การเจรจาระดับสุดยอด การเคลื่อนไหวเช่นนี้จะทำให้จีนมีส่วนร่วมแบบแนบแน่นมากขึ้นในภูมิภาคที่เคยถือว่าอยู่ในอิทธิพลของสหรัฐอย่างชัดเจน
ควบคู่ไปกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่เติบโตขึ้นของจีนในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งสำหรับหลายประเทศในลาตินอเมริกา โดยการมีส่วนร่วมที่ขยายตัวมากขึ้นเช่นนี้จะเสริมอำนาจให้จีน โดยให้อำนาจการต่อรองที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับท่าทีของทรัมป์ที่กดดันกลุ่มประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้น รวมทั้งท้าทายอิทธิพลของสหรัฐในซีกโลกตะวันตก
จีนเสนอระเบียบโลกทางเลือกแทนสหรัฐ
การเข้ามาของทรัมป์ในสมัยแรกเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นปรปักษ์ต่อการเจรจาแบบพหุภาคี ตั้งแต่การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงการลดความสำคัญขององค์การการค้าโลก ดังนั้นการกลับมาของทรัมป์ในครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายคล้ายเดิม รวมถึงความตึงเครียดทางการค้าและเทคโนโลยีกับจีนที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเน้นความสำคัญของการการดำเนินนโยบายแบบเอกภาคีนิยม (Unilateralism) มากขึ้น
แต่ขณะที่มาตรการกีดกันทางการค้าและการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีของทรัมป์สร้างความเสี่ยงที่ชัดเจนต่อปักกิ่ง ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสเช่นกัน กล่าวคือมาตรการดังกล่าวเสริมความแข็งแกร่งของความสอดคล้องทางเศรษฐกิจและการเมืองกับกลุ่มประเทศโกลบอลเซาท์ จีนสามารถนำเสนอตัวเองเป็นหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือสำหรับประเทศต่างๆ ที่ผิดหวังกับพฤติกรรมที่ไม่คงเส้นคงวาของสหรัฐภายใต้ทรัมป์
ทั้งนี้ นักวิชาการส่วนหนึ่งวิจารณ์ว่า การเป็นพหุภาคีของจีนยังห่างไกลจากการเสียสละอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยชี้ให้เห็นว่าปักกิ่งมักผูกมัดความช่วยเหลือและการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการพัฒนากับความจงรักภักดีทางการเมือง โดยเฉพาะในบริบทของประเด็นที่ถกเถียง เช่น ไต้หวัน
นอกจากนี้ บางประเทศในกลุ่มโกลบอลเซาท์กำลังระมัดระวังกับประเด็น“กับดักหนี้” เนื่องจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และระยะยาวภายใต้ BRI ซึ่งปรากฏว่าทำให้ประเทศเช่นศรีลังกาและแซมเบียตกอยู่ในวิกฤตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์จาก ThinkChina แม็กกาซีนออนไลน์สัญชาติสิงคโปร์ แสดงความคิดเห็นว่า สำหรับประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง เสน่ห์ของการสนับสนุนทางการเงินและความเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานของจีนนั้นมีมากกว่าความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีทางเลือกที่เทียบเคียงจากประเทศตะวันตก
ท้ายที่สุด แรงขับเคลื่อนของจีนสู่การเป็นผู้นำด้านการเจรจาพหุภาคีสะท้อนการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือจีนเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่สหรัฐทิ้งไว้ ในขณะเดียวกันก็เสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในท่ามกลางความสงสัยทั่วโลก และสำหรับปักกิ่งแล้วประโยชน์ของกลยุทธ์นี้มีสองประการ
ประเด็นแรก คือการเจรจาลักษณะนี้ทำให้จีนเป็นผู้นำในการกำหนดอนาคตของระเบียบโลก โดยเฉพาะในประเด็นการค้าเสรี โครงสร้างพื้นฐาน ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมาตรฐานเศรษฐกิจดิจิทัล ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้าในยุคทรัมป์โดยการเสริมความสัมพันธ์กับตลาดในเอเชีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง
ขณะที่โลกเตรียมพร้อมสำหรับนโยบายแบบแยกตัวของทรัมป์ที่อาจกลับมา การผลักดันของจีนเพื่อความร่วมมือพหุภาคีเป็นการเตือนถึงความสำคัญของความร่วมมือระดับโลกในการแก้ไขความท้าทายร่วมกัน แม้ว่าแนวทางดังกล่าวอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความพยายามของปักกิ่งในการระดมทัพกลุ่มประเทศโกลบอลเซาท์กลับสะท้อนพลวัตของอำนาจที่กำลังวิวัฒไป ซึ่งเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่สหรัฐจะครอบงำบทบาทผู้นำโลกอยู่เพียงผู้เดียว
ไม่ว่า “ทำเนียบขาว” จะเลือกกลับเข้ามามีส่วนร่วมหรือถอยห่างออกไปสู่การแยกตัวมากขึ้นในช่วงปีข้างหน้า สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ โมเมนตัมพหุภาคีของจีนไม่มีทีท่าว่าจะชะลอลง