สอบสวน 2 ปี ส.ส.สหรัฐได้ข้อสรุป‘ไวรัสโควิดหลุดจากแล็บจีน’
หลังจากสอบสวนมานานสองปี ส.ส.สหรัฐได้ข้อสรุปการแพร่ระบาดของโควิด-19 สนับสนุนทฤษฎีไวรัสน่าจะหลุดมาจากห้องแล็บจีน
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน คณะอนุกรรมาธิการว่าด้วยการระบาดโคโรนาไวรัส สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เผยแพร่รายงานการสอบสวน 520 หน้า ศึกษารายละเอียดการรับมือโควิด-19 ทั้งระดับรัฐและระดับประเทศ รวมถึงต้นกำเนิดของการแพร่ระบาด และความพยายามฉีดวัคซีน
นายแบรด เวนสตรัป ประธานคณะกรรมาธิการระบุในจดหมายถึงสภาคองเกรส
“งานชิ้นนี้จะช่วยสหรัฐและโลก คาดการณ์การแพร่ระบาดครั้งหน้า, เตรียมการรับมือ, ปกป้องตัวเรา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะป้องกันการแพร่ระบาดครั้งหน้าได้”
สำนักงานรัฐบาลกลางสหรัฐ องค์การอนามัยโลก และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ข้อสรุปความเป็นไปได้ของต้นกำเนิดโควิด-19 แตกต่างกัน และยังไม่มีฉันทามติ
ส่วนใหญ่เชื่อว่าแพร่กระจายมาจากสัตว์ในประเทศจีน แต่บทวิเคราะห์ข่าวกรองสหรัฐชิ้นหนึ่งระบุในปีที่ผ่านมาว่า ไวรัสโควิดอาจถูกตัดต่อพันธุกรรมแล้วหลุดจากห้องแล็บในเมืองอู่ฮั่น ที่พบการติดเชื้อในมนุษย์ที่แรก
การสอบสวนของคณะอนุกรรมาธิการต้องประชุมกันถึง 25 ครั้ง ถอดคำสัมภาษณ์มากกว่า 30 ครั้ง ทบทวนเอกสารกว่า 1 ล้านหน้า สัมภาษณ์แอนโทนี เฟาซี ผู้รับผิดชอบเรื่องโควิดของรัฐบาลสองวันเต็ม คณะอนุกรรมาธิการเชื่อในทฤษฎีไวรัสหลุดจากห้องแล็บ
เฟาซีเคยปะทะกับอดีตและว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องการรับมือโควิด ตอนนี้เขาต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองหลังครอบครัวถูกขู่ฆ่า
พรรครีพับลิกันกล่าวหาว่า นักภูมิคุ้มกันวิทยา วัย 83 ปีรายนี้ เป็นผู้ก่อโรคระบาดครั้งรุนแรงที่สุดในศตวรรษ ด้วยการอนุมัติเงินทุนส่งผ่านไปถึงคณะนักวิทยาศาสตร์จีนสร้างโคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 สาเหตุของโควิด-19
ในบรรดาข้อสรุปสำคัญ รายงานเผยว่า สถาบันสุขภาพแห่งชาติให้ทุนสนับสนุนการวิจัยทางการแพทย์ที่สถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพไวรัสอันเป็นหนทางต่อสู้กับไวรัส
ตอนให้ข้อมูลกับคณะอนุกรรมการในเดือน มิ.ย. เฟาซีปฏิเสธอย่างมีอารมณ์ว่าไม่ได้ปกปิดต้นกำเนิดของโควิด-19โต้แย้งว่า “เป็นไปไม่ได้ในระดับโมเลกุล” ที่ไวรัสค้างคาวที่ศึกษาในห้องทดลองจะกลายเป็นไวรัสทำให้เกิดโควิด แต่รายงานของคณะอนุกรรมาธิการระบุว่าSARS-CoV-2 “เป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุในห้องทดลองหรือเกีี่ยวข้องกับการวิจัย”
ปักกิ่งโต้เดือด
ด้านรัฐบาลปักกิ่งตอบโต้รายงานดังกล่าวว่า “ไร้ความน่าเชื่อถือ” พร้อมกล่าวหาสหรัฐกำลังใช้การระบาดมาปลุกปั่นทางการเมือง
“ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการโดยคณะผู้เชี่ยวชาญจีนและ WHO บอกว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ไวรัสจะหลุดจากห้องแล็บ
เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ สิ่งที่เรียกว่ารายงานของสหรัฐจึงได้ปรุงแต่งข้อสรุปชี้นำ ป้ายสีจีนด้วยหลักฐานเท็จ” นายหลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวตามปกติ
ผลการสอบสวนพบด้วยว่า การล็อกดาวน์ “สร้างผลเสียมากกว่าผลดี” การบังคับสวมหน้ากาก “ไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่กระจายของโควิด-19” ตรงข้ามกับงานวิจัยอื่นที่ชี้ว่า การสวมหน้ากากในที่สาธารณะช่วยลดอัตราการแพร่เชื้อได้
ข้อแนะนำให้เว้นระยะก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน แม้ข้อบังคับการเดินทางดูเหมือนสามารถปกป้องชีวิตได้
คณะอนุกรรมการฯ พบว่า โครงการพัฒนาวัคซีนโควิดที่ใช้งบประมาณสาธารณะ Operation Warp Speed ของทรัมป์ “ประสบความสำเร็จมหึมา” แต่การปิดโรงเรียน “ส่งผลกระทบยืดเยื้อ” ต่อเด็กสหรัฐ