สรุปการลงทุนโลก 2567 มองทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ 2568
สรุปภาพรวมการลงทุนโลกปี 2567 ตั้งแต่หุ้นสหรัฐจนถึงสัญญาโกโก้ที่ผลตอบแทนพุ่งทะลุ 168% นักวิเคราะห์คาดปีนี้ S&P 500 จะยังคงทำผลงานดีต่อเนื่อง แต่จะเป็นอัตราเติบโตที่ชะลอตัวลง หลังจากให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% มาสองปีติดต่อกัน เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี
ปี 2567 นับเป็นปีทองของการลงทุนในเกือบทุกสินทรัพย์ตั้งแต่สินทรัพย์ปลอดภัยไปจนถึงสินทรัพย์เสี่ยง ภายใต้บรรยากาศการเริ่มต้น “วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง” ที่นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนก.ย. หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงสุดในรอบกว่าสิบปีมาตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2566 ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเช่นกัน
สิ่งที่ตลาดกำลังจับตามองก็คือ หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐทุบสถิติใหม่เป็นว่าเล่นในปีที่แล้ว โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% มาสองปีติดต่อกัน เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่ปี 2540-2541 ทิศทางในปีหน้าจะคงการเติบโตเช่นนี้ได้ต่อ หรือจะมีความเสี่ยงฟองสบู่แตกหรือไม่
ยาฮูไฟแนนซ์รายงานว่า นักกลยุทธ์เสียงส่วนใหญ่ในวอลสตรีทต่างเห็นพ้องตรงกันว่า ตลาดหุ้นสหรัฐโดยเฉพาะ S&P 500 จะยังคงทำผลงานดีต่อเนื่องในปีหน้า แต่จะเป็นอัตราเติบโตที่ชะลอตัวลง ปัจจัยบวกพื้นฐานที่จะสนับสนุนการเติบโตก็คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะขยายตัวดีในปีนี้ และการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้ตลาดผันผวนก็คือ การลดดอกเบี้ยของเฟดที่อาจชะลอตัวลง และการบริหารของผู้นำคนใหม่อย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ไบรอัน เบลสกี หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทบีเอ็มโอ แคปิทัล มาร์เก็ตส์ ระบุในมุมมองตลาดปี 2568 ว่า ตลาดอาจยังคงภาวะกระทิงได้อยู่ แต่ก็จะชะลอตัวบ้างเป็นครั้งคราว
“เราเชื่อว่าปี 2568 จะถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมผลตอบแทนที่กลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น โดยมีผลงานที่สมดุลมากขึ้นในทุกเซ็กเตอร์ ขนาด และรูปแบบ”
ทั้งนี้ เบลสกีคาดการณ์ราคา S&P 500 ณ สิ้นปีที่แล้วที่ 6,100 จุด ขณะที่ดัชนีทำราคาปิดสูงสุดทุบสถิติใหม่ตลอดกาลได้ที่ 6,090.27 เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ส่วนในปีนี้ให้ราคา ณ สิ้นปีที่ 6,700 จุด หรือเติบโต 9.8% โดยสอดคล้องกับประวัติการณ์การเติบโตโดยเฉลี่ยที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกาคาดการณ์ที่ ระดับ 6,666 จุด หรือขยายตัวประมาณ 10%
ดอรี วิลีย์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทคอมเมิร์ซ สตรีท แคปิทัล กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นสหรัฐถูกเทขายในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นปี 2567 เป็นการเทขายทำกำไรและปรับสมดุลพอร์ต ท่ามกลางความกังวลที่เฟดอาจจะลดดอกเบี้ยน้อยลงในปีนี้ แต่ขณะเดียวกันก็คือเป็นโอกาสให้เข้าซื้อ โดยปัจจัยที่จะทำให้หุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นก็คือผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งก็มีอยู่แล้ว และคาดว่าตัวเลขไตรมาส 4 จะยังคงไปได้ดีอยู่
ฟองสบู่ยังไม่แตกแค่เปลี่ยนโฟกัส
สำหรับความกังวลเรื่องฟองสบู่โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) นั้น นักวิเคราะห์ธนาคารโกลด์แมน แซคส์มองว่า กระแสหุ้นเอไอได้ผ่าน “เฟส 2” ไปแล้ว โดยเฟสแรกนั้นคือการมุ่งไปที่หุ้น “อินวิเดีย” (Nvidia) เป็นหลักเพียงอย่างเดียวในฐานะจุดชี้วัดความบูมของเอไอ ส่วนเฟสที่สองจะแพงขึ้นอีกเล็กน้อยและจะกระจายไปยังบริษัทอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการก่อร่างโครงสร้างพื้นฐานเอไอมากขึ้น
และปี 2568 คือการเข้าสู่เฟส 3 ที่นักลงทุนจะปรับโฟกัสไปยัง “บริษัทที่สามารถทำเงินได้จริงจากเอไอ” โดยคาดว่าบริษัทซอฟต์แวร์และบริการเกี่ยวกับเอไอจะหันมาออกผลิตภัณฑ์ในขั้นต่อไปของวิวัฒนาการเอไอกันมากขึ้น เช่น แอปเปิ้ล และเซลส์ฟอร์ส
อย่างไรก็ตาม หากใช้ตัวชี้วัดอย่าง Buffett Indicator ที่ได้มาจากการนำมูลค่าบริษัทของหุ้นทุกตัวในประเทศหารด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะพบว่า ดัชนีบัฟเฟตต์ในเดือนธ.ค. พุ่งขึ้นแตะ 208% ซึ่งทะลุระดับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงฟองสบู่ดอทคอมและวิกฤติการเงินโลก ในขณะที่ตำนานมหาเศรษฐีนักลงทุนวีไออย่างวอร์เรน บัฟเฟต แห่งเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ ก็เลือกที่จะถือเงินสดในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (อีกครั้ง) ด้วย
สรุปภาพรวมการลงทุนปี 2567
ดัชนี S&P 500: ปรับตัวขึ้น 23.3% นำโดยหุ้นในกลุ่ม “7 นางฟ้า” (Magnificent Seven) ได้แก่อัลฟาเบท อะเมซอน แอปเปิ้ล เมตา ไมโครซอฟท์ อินวิเดีย และเทสลา ซึ่งให้ผลตอบแทนรวมกันมากกว่า 50% ของผลตอบแทนรวมในเอสแอนด์พี 500 ในปีที่แล้ว แต่หากนับเฉพาะหลังเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย. จนถึงสิ้นปี หุ้น 7 นางฟ้าจะให้ผลตอบแทนถึงกว่า 96% ของกระดานนี้ นำโดย “อินวีเดีย” ที่ทำผลงานตลอดทั้งปีบวกไป 179%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones: ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.9% โดยดัชนีหุ้นบลูชิปพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือ 45,000 จุดเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ก่อนที่จะร่วงลง 5% ในเดือนเดียวกัน ทั้งนี้ดาวโจนส์เปิดรับหุ้นอินวิเดียเข้ามารวมในดัชนีเมื่อเดือนพ.ย.
ดัชนี Nasdaq Composite: ปรับตัวขึ้น 28.6% ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีคือดาวเด่นที่แท้จริงของปี 2567 ท่ามกลางความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)
ทองคำ: ปรับตัวขึ้น 27% นับเป็นปีทองของทองคำที่ทำผลงานดีที่สุดในรอบ 14 ปี และแซงหน้าผลประกอบการของ S&P 500 ปีนี้ทองคำได้แรงซื้อเข้ามามากจากธนาคารกลางทั่วโลก
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ: บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีของสหรัฐอยู่ที่ 4.57% ณ สิ้นปี 2567 และตลอดทั้งปีให้ผลตอบแทนเฉลี่ยรวมกว่า 15% บ่งชี้ถึงความคาดหวังต่ออนาคตการเติบโตทางเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ: ปรับตัวขึ้น 7.1% จากการรรวบรวมข้อมูลโดย FactSet ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงปลายปีจากความคาดถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่เติบโตแข็งแกร่ง และยิ่งได้แรงหนุนหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.
บิตคอยน์: แม้จะทำผลงานวันสิ้นปีในช่วงเย็นอยู่ที่ประมาณ 93,400 ดอลลาร์/BTC หรือร่วงลงเกือบ 4% ในเดือนธ.ค. แต่ตลอดทั้งปี 2567 บิตคอยน์ได้อานิสงส์ของทรัมป์ที่มีแนวทางสนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้บวกไปราว 120% หรือเกือบถึง 110,000 ดอลลาร์ ถือเป็นการยูเทิร์นครั้งใหญ่จากวิกฤติฟองสบู่แตกเมื่อ 2 ปีก่อนที่ทำให้ราคาดิ่งลงหนักไม่ถึง 17,000 ดอลลาร์
สัญญาโกโก้และกาแฟ: สัญญาล่วงหน้าโกโก้ตลาดนิวยอร์กถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในปี 2567 โดยปรับตัวขึ้นกว่า 168% โดยเนื่องจากปัญหาสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตโกโก้ในกานาและไอวอรีโคสต์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตโกโก้กว่า 70% ของโลกเหตุผลเดียวกันนี้จากอุปทานที่ลดลงยังส่งผลให้สัญญาล่วงหน้าซื้อขายกาแฟ พุ่งขึ้นราว 68% ในปีที่แล้วเช่นกัน