วิกฤติพันธบัตรอังกฤษ หวั่นเกิด ‘ลิซ ทรัสส์ 2.0’ เสี่ยงซ้ำรอย ‘วิกฤติหนี้’ ปี 2519

วิกฤติพันธบัตรอังกฤษ  หวั่นเกิด ‘ลิซ ทรัสส์ 2.0’ เสี่ยงซ้ำรอย ‘วิกฤติหนี้’ ปี 2519

วิกฤติพันธบัตรอังกฤษ บอนด์ยีลด์พุงสูงขึ้นในรอบ 26 ปี ท่ามกลาง ‘เงินเฟ้อ’ รุนแรง ‘หนี้สาธารณะ’ ที่พุ่งแตะ 100% ของ GDP จนถูกเตือนความเสี่ยง นักเศรษฐศาสตร์หวั่นเกิด ‘ลิซ ทรัสส์ 2.0’ ส่อเค้า ‘วิกฤติหนี้’ ปี 2519

KEY

POINTS

  • บอนด์ยีลด์ ‘พันธบัตรอังกฤษ’ อายุ 10 ปี พุ่งในรอบ 17 ปี พร้อมกับ พันธบัตรอายุ 30 ปี พุ่งสู่ 5.3% เป็นระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 26 ปี
  • เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนักหลัง ‘พรรคแรงงาน’ ได้รับชัยชนะ  กังวลหนี้สาธารณะต่อ GDP พุ่งแตะ 100%  
  • คล้ายวิกฤตการณ์พันธบัตร รัฐบาล 'ลิซ ทรัสส์' ปี 2565 และ 'วิกฤตหนี้สิน' ปี 2519  

 “ตลาดพันธบัตร” ของ “อังกฤษ” เริ่มต้นปีด้วยความปั่นป่วน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีพุ่งสูงถึง 4.82% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี พุ่งสู่ 5.3% เป็นระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 26 ปี สะท้อนว่าต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวของสหราชอาณาจักรพุ่งสูงขึ้นและพร้อมกับ “เงินปอนด์” ที่อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี ท่ามกลางสัญญาณเงินเฟ้อที่จะรุนแรงขึ้น

วิกฤติพันธบัตรอังกฤษ  หวั่นเกิด ‘ลิซ ทรัสส์ 2.0’ เสี่ยงซ้ำรอย ‘วิกฤติหนี้’ ปี 2519

สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่านักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาลในการควบคุมหนี้และเงินเฟ้อของประเทศ จุดประกายให้ตลาดเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤตการณ์พันธบัตรที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลของ “ลิซ ทรัสส์” เมื่อปี 2565 และผลกระทบที่รุนแรงครั้งนี้คล้ายกับ “วิกฤตหนี้สิน” ที่รุนแรงในช่วงปี 2519 เป็นอย่างมาก

นโยบายพรรคแรงงานดัน ‘เงินเฟ้อ’

เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนักหลัง “พรรคแรงงาน” ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในเดือนก.ค. 2567 พร้อมกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจลดลงตั้งแต่ “ราเชล รีฟส์” รัฐมนตรีคลังของสหราชอาณาจักรประกาศขึ้นภาษีสำหรับธุรกิจถึง 26,000 ล้านปอนด์  พร้อมกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้น  ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก เนื่องจากบริษัทต่างๆ ต่างพากันออกมาเตือนว่า พวกเขาจะต้องผลักภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ไปยังผู้บริโภคโดยการปรับราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้น

วิกฤติพันธบัตรอังกฤษ  หวั่นเกิด ‘ลิซ ทรัสส์ 2.0’ เสี่ยงซ้ำรอย ‘วิกฤติหนี้’ ปี 2519 เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษหลังพรรคแรงงาน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เผยแพร่ผลสำรวจว่าบริษัทต่างๆ มีแผนที่จะปรับราคาสินค้าและบริการเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 4% ในปีหน้า ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 67 ประกอบกับต้นทุนพลังงานและราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอีกด้วย

“มาร์ติน วีล” อดีตสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินของ BoE  เตือนว่า หากพรรคแรงงานยังคงนโยบายเดิม ตลาดอาจกังวลเรื่องภาระหนี้ของประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายรัดเข็มขัดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า จะสามารถแก้ไขภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นได้

เสี่ยงซ้ำรอย ‘วิกฤติหนี้’ 

วีลได้เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับ "ฝันร้าย" ของวิกฤตหนี้ในปี 1976 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลอังกฤษต้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เนื่องจากปัญหาหนี้สินที่รุมเร้า และความกังวลว่าค่าใช้จ่ายหนี้ที่พุ่งสูงขึ้นในปัจจุบันจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเงินสำรองทางการคลังของรัฐบาล ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียง 9.9 พันล้านปอนด์ และอาจทำให้รัฐบาลละเมิดกฎเกณฑ์ทางการคลังที่กำหนดไว้ สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลอย่างมากก่อนการประกาศงบประมาณอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มี.ค.ที่จะถึงนี้

สถานการณ์ปัจจุบันที่ทั้งเงินปอนด์อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นพร้อมกันนั้น เป็นสัญญาณเตือนที่น่ากังวล เพราะหากสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก อาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงคล้ายกับปี 1976 ที่อังกฤษต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF 

ลิซ ทรัสส์ 2.0

เว็บไซต์เดอะการ์เดียนตั้งคำถามว่านี่คือ ‘ลิซ ทรัสส์ 2.0’ หรือไม่ พร้อมกับนักลงทุนหลายรายมองว่าสถานการณ์ตลาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับวิกฤติในช่วงรัฐบาลของ “ลิซ ทรัสส์”  

วิกฤติพันธบัตรอังกฤษ  หวั่นเกิด ‘ลิซ ทรัสส์ 2.0’ เสี่ยงซ้ำรอย ‘วิกฤติหนี้’ ปี 2519

ความกังวลที่มากกว่าวิกฤติพันธบัตร  คือแผนการทางเศรษฐกิจของพรรคแรงงาน  โดย นีล เบอร์เรลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัท Premier Miton Investors ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายการคลังที่นำเสนอโดยราเชล รีฟส์ เมื่อวันที่ 30 ตุ.ค. ซึ่งเป็นงบประมาณที่มีการเพิ่มภาษีมากเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรว่า "ใช้ไม่ได้ผล" และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในระยะยาว

ไมค์ ริดเดลล์ ผู้จัดกองทุนจาก Fidelity International ได้เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับปี 2565 ระบุว่าเป็น” สัญญาณเตือน" ที่น่ากังวล อาจนำไปสู่การ "หยุดงานประท้วง" หรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากสหราชอาณาจักร

ความเสี่ยง ‘หนี้สาธารณะ’ รุนแรงขึ้น

ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของรัฐบาลอังกฤษกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นปีนี้ แม้ว่าอังกฤษจะมีหนี้สาธารณะต่ำกว่าประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อิตาลี และญี่ปุ่น แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีแตะ 100% (ประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์)

นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตามองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรเลวร้ายลงไปมากกว่านี้ พรรคแรงงานไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเปลี่ยนนโยบายทางการคลัง การลดการใช้จ่ายภาครัฐและการขึ้นภาษี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและตลาดการเงินว่ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บรรดานักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นพ้องกันว่าภาระดอกเบี้ยของสหราชอาณาจักรกำลังจะเพิ่มสูงขึ้น จากการคาดการณ์ของ Deutsche Bank ระบุว่า สหราชอาณาจักรจะต้องเผชิญกับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 10,000 ล้านปอนด์ในปี 2573 นั่นหมายความว่า รัฐบาลอังกฤษจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสำหรับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องบประมาณของประเทศอย่างมาก

โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของวินัยทางการคลังและอำนาจของรัฐบาลในการบริหารจัดการเงินของประเทศ  โดยระบุว่า ณ ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรมีระดับหนี้สาธารณะที่ต่ำเป็นอันดับ 2 เมื่อเทียบกับประเทศกลุ่ม G7 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก และได้เน้นย้ำว่ามีเพียงหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านงบประมาณเท่านั้นที่มีอำนาจในการคาดการณ์ระดับหนี้สาธารณะได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลอื่นๆ ที่ออกมาล้วนเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น

ก่อนหน้านี้  IMF  ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงด้านหนี้สินของสหราชอาณาจักรนั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้น และหากรัฐบาลไม่มีแผนการที่ชัดเจนในการจัดการกับปัญหานี้ อาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้เชิงลบจากตลาดการเงิน

สุดท้ายแล้ว ปัญหาทางการเงินของสหราชอาณาจักรนั้นเป็นปัญหา “เรื้อรัง” ที่สั่งสมมานานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้รัฐบาลอนุรักษ์นิยมหลายสมัยที่ผ่านมา ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้ระดับหนี้สาธารณะของสหราชอาณาจักรในปัจจุบันสูงที่สุดในรอบ 65 ปี นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2503 

“นโยบายทางเศรษฐกิจในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นการปล่อยให้ปัญหาเศรษฐกิจทวีความรุนแรงขึ้น แต่กลับไม่เคยมีมาตรการชดเชยเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ตลาดการเงินเพิ่งจะเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้ในขณะนี้”

อ้างอิง theguardian  Bloomberg