จับตา ‘สี จิ้นผิง’ ตั้งผู้นำรุ่นใหม่ 20% ปีนี้ ว่าที่แกนนำการเมืองรุ่นถัดไปในจีน?

จับตา ‘สี จิ้นผิง’ ตั้งผู้นำรุ่นใหม่ 20% ปีนี้ ว่าที่แกนนำการเมืองรุ่นถัดไปในจีน?

ปีนี้จีนจะมีผู้นำรุ่นเก่าเกษียณอายุมากถึง 1 ใน 5 จับตาสี จิ้นผิง แต่งตั้งผู้บริหารรุ่นใหม่มาแทนที่ หลังเพิ่งตั้งผู้ว่าการเจ้อเจียงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่สื่อชี้อย่าเพิ่งรีบตั้งความหวัง

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “รัฐบาลจีน” ภายใต้การนำของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” กำลังเตรียมการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้นำท้องถิ่น โดยในปี 2568 จะมีผู้นำท้องถิ่นประมาณ 20% ใกล้เกษียณอายุ ซึ่งอาจเป็นการเปิดทางให้ผู้นำรุ่นใหม่ในช่วงวัย 50 ปี เข้ามาแทนที่ 

สี จิ้นผิง ซึ่งปัจจุบันอายุ 71 ปี และกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยเลข 8 นั้น เป็นวัยที่อาจพิจารณามอบอำนาจเพิ่มเติมให้ผู้แทน หรืออาจตัดสินใจลงจากตำแหน่ง ซึ่งรายงานจากเอเซียโซไซตี้ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ หรือผู้นำรุ่นใหม่ที่เกิดในช่วงทศวรรษ 70 ได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล 

คนที่เกิดในช่วงทศวรรษ 70 หรือคนในวัยเลข 5 นำหน้านขณะนี้ ถือเป็น “ผู้นำรุ่นใหม่” ของจีนแล้ว เพราะการก้าวเข้าสู่การเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงนั้นจะต้องใช้เวลาอย่างยิ่ง

ผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในจีน

 “หลิว เจีย” คือตัวอย่างของผู้นำรุ่นใหม่ในวัย 55 ปีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำในเดือนนี้ ซึ่งเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน โดยได้รับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่มีความมั่งคั่ง นอกจากนี้ ยังมีผู้ว่าราชการอีกสองคนที่มีอายุในวัย 50 ปี ซึ่งอยู่ในระดับผู้นำเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ผู้นำรุ่นใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในจีน

หลิว เริ่มต้นเส้นทางอาชีพจากการทำงานในบริษัทเหล็กของรัฐในมณฑลหูหนานที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของจีน จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตการทำงานของเขาเกิดขึ้นในปี  2564 เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเมืองหางโจวแทนที่โจว เจียงหยง ซึ่งถูกจับกุมในข้อหารับสินบนมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ ในช่วงที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังเดินหน้านโยบายปราบปรามการทุจริต

สิ่งที่น่าสนใจคือการแต่งตั้งครั้งนี้ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เนื่องจากหลิวไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีเหมือนผู้ว่าการคนก่อนๆ

การที่หลิวได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งโดยปกติแล้วถือเป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูง ทำให้หลิวได้เปรียบในกลุ่มคนรุ่นใหม่หลังยุค 70  ซึ่งปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกิดหลังปี 2513 จำนวน 12 คน ดำรงตำแหน่งระดับสูงในแต่ละมณฑล แม้ว่าจะยังไม่ถึงระดับรัฐมนตรีก็ตาม  

ความไม่แน่นอนของอนาคตผู้นำจีน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง การคาดการณ์อนาคตของผู้นำที่มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง  จากกรณีของ “หู ชุนหัว” ที่แม้เคยถูกมองว่าเป็นตัวเต็งผู้สืบทอดตำแหน่งคนสำคัญ ก็เริ่มหายไปจากแวดวงการเมือง เช่นเดียวกับบุคคลสำคัญอื่นๆ หลายคน

นีล โธมัส นักวิจัยด้านการเมืองจีนจากศูนย์วิเคราะห์จีนของสถาบันนโยบายสังคมเอเชียได้ให้ความเห็นว่า ยิ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อยู่ในตำแหน่งนานเท่าไร โอกาสที่ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาจะมาจากกลุ่มคนที่เกิดหลังทศวรรษ 2513 ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น 

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น สี จิ้นผิง อาจทำลายบรรทัดฐานเดิมด้วยการรักษาให้พันธมิตรที่ใกล้ชิดของเขาอยู่ในอำนาจต่อไปได้นานกว่าอายุเกษียณตามแบบแผนเดิม ซึ่งจะนำไปสู่ยุคใหม่ของการเมืองที่ผู้สูงอายุครองอำนาจในปักกิ่ง

ก่อนหน้านี้ สี จิ้นผิง กำลังทำลายกฎเกณฑ์เดิม ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่อยู่มานานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ในสมัยของ “เหมา เจ๋อตุง” โดยการไม่เลือกผู้สืบทอดตำแหน่งทำให้เขามีโอกาสที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปได้ตลอดชีวิตและไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ว่าจะลงจากตำแหน่งหลังหมดวาระในปี 2570 หลังจากที่ได้คว่ำผู้ท้าชิงทั้งหมดออกไป สิ่งนี้ได้สร้างความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของระบบการเมืองจีน

เวน-ตี ซุง นักวิทยาศาสตร์การเมืองจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียกล่าวสี จิ้นผิง กำลังเผชิญปัญหาในการคัดเลือกผู้นำรุ่นใหม่เข้ามารับตำแหน่ง คือข้อเรียกร้องเรื่องความภักดีจากทุกคน ซึ่งการให้ความสำคัญกับความภักดีมากเกินไป  ทำให้การดึงดูดคนที่มีความสามารถใหม่ๆ เข้ามาทำงานได้ยาก

อีกหนึ่งในความเป็นไปได้คือ ประธานาธิบดีสีอาจต้องการยกเลิกข้อจำกัดด้านอายุทั้งหมด เพื่อให้บรรดาคนที่สีเคยเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาสามารถอยู่ในอำนาจต่อไปได้ อัลเฟรด วู นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์มองว่า วิธีนี้จะเป็นการกำจัดดาวรุ่งทางการเมืองที่อาจเข้ามาท้าทายอำนาจของเขาได้อีกด้วย

"หลังจากที่สี จิ้นผิงได้ยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าเขาคงไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา” วู กล่าว