เฝ้าติดตามคำทำนาย รัฐบาลทหาร ‘เมียนมา’ ล่มสลาย บนอำนาจรัฐประหารสู่ปีที่ 5

แอนดรูว์ เซลธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเมียนมา เขียนบทวิเคราะห์ในเว็บไซต์ชาแนลนิวส์เอเชีย ระบุ การปกครองเมียนมาระส่ำ เจอปัญหาหนักหน่วง แต่ไม่อาจมองโลกในแง่ดีเกินไปว่า ปัญหาความขัดแย้งจะถูกแก้ไขในเร็วนี้
KEY
POINTS
นักเคลื่อนไหว ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่นักวิชาการบางคนมอง เหตุการณ์แย่งชิงอำนาจทางการทหารเมียนมา เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 มาจนถึงตอนนี้ ยังคงเป็น “การรัฐประหารที่ล้มเหลว”
แม้จะไม่ชัดกำลังหมายถึงอะไร แต่ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคณะกรรมการบริหารแห่งรัฐ (SAC) ที่เรียกตนเองว่า “สภาบริหารแห่งรัฐ” นำโดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ยังคงอยู่ในอำนาจ หลังเหตุการณ์ในเมียนมาวุ่นวายนี้ผ่านไปนาน 4 ปี
เมียนมาสูญเสียการปกครองในพื้นที่โดยรอบ รวมทั้งกองบัญชาการทหารระดับภูมิภาค 2 แห่ง ทางตอนเหนือ และตะวันตกของประเทศ ขณะที่ต้องรับมือกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มติดอาวุธ ชาติพันธุ์ และกองกำลังที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG)
เศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะปัญหา มีประชาชนเมียนมาเกือบ 35% อยู่อย่างยากจน และมีผู้คนมากกว่า 3.5 ล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัย
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่า ระบบการปกครองแบบทหาร “ ล้มเหลว” อย่างไรก็ตาม แม้มีการคาดการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า จะล่มสลายในเร็วๆ นี้ แต่ระบบการปกครองทางทหารก็ยังคงอยู่
ตัวอย่างเช่น เดือนสิงหาคม 2566 ผู้นำกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ 3 แห่งประกาศว่า คณะรัฐประหารเมียนมาจะต้องล่มสลายในเร็วๆนี้ ต่อมาในช่วงปลายปี 2566 และต้นปี 2567 กลุ่มพันธมิตรติดอาวุธชาติพันธุ์ และผู้สนับสนุน NUG สร้างความพ่ายแพ้ทางทหารครั้งใหญ่หลายต่อหลายครั้งให้กับกองทัพเมียนมา ในพื้นที่ตอนเหนือ และตะวันตกของประเทศ ซึ่งกล่าวกันว่า “สงครามกลางเมือง” กำลังสร้าง “จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่” ขณะที่คณะรัฐประหารเมียนมาเผยถึงความเสียหาย และอยู่ในจุดวิกฤติ
ปรารถนาสู่การเปลี่ยนแปลง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เร็วเกินไปที่กล่าวอ้างสิ่งเหล่านี้ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่พูดสะท้อนจากแรงปรารถนา มากกว่าการวิเคราะห์ตามปัจจัยสิ่งแวดล้อมและมีความเป็นกลาง
แม้กระทั่งตอนนี้ผ่านไปแล้ว 12 เดือนจากเหตุการณ์วันนั้น นักสังเกตการณ์บางคนยังคงยืนกันว่า คณะรัฐประหารเมียนมา กำลังอยู่ในช่วงขาลงสู่ความล่มสลาย
พิสูจน์เหตุจำเป็นต้องมีรัฐประหาร
ในช่วงที่ผ่านมา แม้จะเผชิญปัญหาต่างๆมากมาย แต่รัฐบาลทหารเมียนมา ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ อีกทั้งยังคงสามารถควบคุมเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ รวมถึงรัฐบาลทหารยังได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย และจีน โดยทั้งสองประเทศให้การช่วยเหลือด้านอาวุธ และคุ้มครองทางการทูต
คณะรัฐประหารเมียนมาสามารถหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรส่วนใหญ่ได้ และยังมีรายได้การส่งออกจำนวนมาก นอกจากนี้คณะรัฐประหารยังแสดงให้เห็นถึงเหตุจำเป็น ขณะที่คณะรัฐประหาร มีความยืดหยุ่น และหวังบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับฝ่ายตรงข้ามได้
ขบวนต่อต้าน เติบโตแข็งแกร่ง
กลุ่มขบวนการต่อต้านได้พัฒนาด้านการทหาร และก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง ทั้งมีการดำเนินเชิงยุทธศาสตร์ โดยที่กลุ่มติดอาวุธ ชาติพันธุ์ และ NUG มีเป้าหมายร่วมกัน โดยมุ่งทำลายล้าง SAC เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ยังมีการตกลงดำเนินการให้เห็นชัดเจนมากนัก
ในระยะหลัง ชัยชนะทางทหารทำให้กองทัพเมียนมามีอาวุธและกระสุนอยู่ในครอบครองจำนวนมาก ขณะที่กลุ่มขบวนการต่อต้านประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากร แต่กลุ่ม NUG ไม่อาจรับความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากรัฐบาลต่างประเทศใดๆ ได้
ยากจะคาดเดาว่า จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในปี 2568 เมียนมามักสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ติดตามสถานการณ์เสมอ แต่ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ต้องจับตามองคือ ความภักดี และความสามัคคีของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญให้คณะรัฐประหารเมียนมาอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่
ทหารยังคงอยู่
ในแง่การกำหนดกฎหมายการเกณฑ์ทหารในเมียนมาขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ เพราะช่วงเวลาหลายทศวรรษต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อคุมความคิดทหารชั้นผู้น้อย
ดังนั้นการนำชายและหญิงที่เป็นกลุ่มต่อต้าน และอาจก่อกบฏได้กว่า 20,000 นายเข้ามาอยู่ในระบบ คาดว่า ทั้งหมดจะได้รับการฝึกฝนและมีอาวุธ ซึ่งสิ่งนี้จะต้องได้รับการพิจารณาว่าเป็นความเสี่ยงหรือไม่ ขณะเดียวกันได้แสดงให้เห็นว่า ปัญหาการขาดแคลนกำลังพลทหารของคณะรัฐประหาร ยังคงเป็นปัญหาที่ร้ายแรง
ประโยชน์ร่วม ใต้ปีกอำนาจ
เบอร์ทิล ลินต์เนอร์ นักสังเกตการณ์สถานการณ์ภายในเมียนมาที่มากด้วยประสบการณ์ชี้ให้เห็นว่า จีนกลายเป็นรัฐบาลต่างประเทศเพียงประเทศเดียว ซึ่งแสดงเจตนารมย์และขยายอิทธิพลต่อการพัฒนาต่างๆ ในเมียนมา ทั้งหมดนี้เกิดจากผลประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ โดยปักกิ่งมุ่งมั่นปกป้องพรมแดนทางตอนใต้ของประเทศตนเอง ตลอดจนปกป้องการลงทุน เส้นทางเศรษฐกิจไปยังชายฝั่งตะวันตกของเมียนมา และรักษาการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
ลินต์เนอร์ มองว่า ปักกิ่งไม่ปรารถนาจะเห็นรัฐบาลมาจากประชาธิปไตยเกิดขึ้นในเมียนมา แต่รัฐบาลปักกิ่งพร้อมพูดคุยกับรัฐบาลจากประเทศต่างๆในกรุงเนปิดอว์ ซึ่งจะเป็นหนึ่งการรับประกันถึงเสถียรภาพในเมียนมาได้ระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม อาจมองได้ว่า เป็นความพยายามใช้ประโยชน์จากปัญหาเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ และเศรษฐกิจของตนเอง
อ้างอิง : CNA