เมื่อ ‘บิล เกตส์’ เป็นผู้เฒ่าเล่าความหลัง

เมื่อ ‘บิล เกตส์’ เป็นผู้เฒ่าเล่าความหลัง

หนังสือเล่มล่าสุดของ “บิล เกตส์” กำหนดพิมพ์ออกขายภายในเดือนนี้ เนื้อหาของเล่มใหม่ต่างกับของเล่มก่อนๆ มาก เนื่องจากเล่มก่อนๆ มักเป็นสารคดีแนววิชาการ ส่วนเล่มนี้เป็นแนวความทรงจำที่เล่าเรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เนื่องจากบิล เกตส์มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ มากมาย จึงอาจคาดเดาได้ว่าเขาจะเล่าเรื่องราวในสมัยเขาเป็นผู้ใหญ่ในเล่มต่อไป หรืออาจในอีกหลายเล่ม

ปลายปีนี้ บิล เกตส์ จะอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ ประมวลข้อมูลจากรายงานและเหตุการณ์มากมายบ่งบอกว่า เขาจะอยู่ได้อีกหลายปีแม้วันนี้จะมองได้ว่าเขาเริ่มเข้าวัยเฒ่าแล้วก็ตาม แม้จะมีมันสมองในระดับอัจฉริยะและมีฐานะเป็นอภิมหาเศรษฐี แต่เขาไม่มีความแตกต่างกับบุคคลทั่วไปตามคำพังเพยของไทยที่ว่า “ผู้เฒ่าชอบเล่าความหลัง

บิล เกตส์ เขียนหนังสือเล่มแรกชื่อ The Road Ahead ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 2538 และอีก 4 ปีต่อมาตีพิมพ์เล่มที่สองชื่อ Business @ the Speed of Thought (ทั้งสองเล่มมีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.com) เล่มแรกคาดการณ์เกี่ยวกับผลของการเกิดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดตามมาจากถนนข่าวสารข้อมูล ส่วนเล่มหลังพูดถึงการสนธิกันของธุรกิจกับเทคโนโลยีและการใช้โครงข่ายพื้นฐาน จากสนธิกันของสองด้านนี้ในการเอาชนะคู่แข่งขันทางด้านการทำธุรกิจ

บิล เกตส์ ตั้งชื่อหนังสือเล่มล่าสุดว่า Source Code: My Beginnings เป็นไปตามกระบวนการของการจัดพิมพ์หนังสือใหม่ บิล เกตส์ พยายามสร้างความสนใจด้วยการให้โอกาสสื่อสัมภาษณ์เป็นเวลานาน นอกจากนั้น เขายังพาสื่อไปพบพี่น้องของเขาและชมสถานที่ต่างๆ รวมทั้งบ้านและโรงเรียนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กอีกด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า เขามิได้ให้สื่ออเมริกันสัมภาษณ์ หากเป็นสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ การเลือกสื่อนี้จะมีนัยอะไรหรือไม่คาดเดาได้ยาก

บีบีซีรายงานการสัมภาษณ์และการไปเยี่ยมย่านบ้านเกิดของบิล เกตส์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมหลายด้าน รายงานนี้น่าจะเป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายนอกเหนือจากในหมู่ผู้ติดตามความเป็นมา ความสามารถและแนวคิดกับกิจกรรมของเขาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

ข้อมูลใหม่ที่ดูจะโดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่ การเปิดเผยความสงสัยของเขาว่า เขาเองมีพัฒนาการด้านระบบประสาทไม่ปกติหรือไม่ (ออทิสติก) จึงทำให้มีพฤติกรรมแตกต่างจากเด็กทั่วไปมาก เช่น หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาสนใจจนถึงกับไม่ออกจากห้องนอนเป็นเวลานับวัน เขาทุ่มเทเวลาเรียนรู้เรื่องการทำงานของคอมพิวเตอร์จนแตกฉานในเวลาไม่นาน หลังการใช้มันเป็นครั้งแรกในโรงเรียน ความแตกฉานนั้นมีผลทันตาเห็นเมื่อบริษัทคอมพิวเตอร์ใกล้บ้านให้เขาเข้าไปใช้คอมพิวเตอร์ในสำนักงานแบบไม่ต้องจ่ายเงินโดยมีข้อแม้อย่างเดียว 

นั่นคือ ถ้าเขาพบข้อบกพร่องของระบบการทำงานของมัน เขาต้องรายงานบริษัททันที ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมักหนีออกจากห้องนอนทางหน้าต่างในเวลากลางดึกเพื่อไปใช้คอมพิวเตอร์ แม้จะสงสัยในพฤติกรรมของตัวเอง แต่ถึงวันนี้ยังไม่มีการทดสอบว่าระบบประสาทของเขาพัฒนาแบบผิดปกติหรือไม่

ก่อนจบการสัมภาษณ์ เขานำข้อมูลที่เตรียมไว้ใช้ในโอกาสฉลองครบรอบ 25 ปีของมูลนิธิเพื่อการกุศลของเขามาเปิดเผยคร่าวๆ ว่า เขาได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลไปแล้ว 1 แสนล้านดอลลาร์และจะบริจาคอีกมาก เขาบอกว่าอย่าสงสัยว่าเขาและลูก 3 คนจะมีปัญหาจากการบริจาคมากมายเช่นนั้น เพราะเขายังมีเหลือพอใช้และมอบให้ลูกมากพอสำหรับดำเนินชีวิตได้อย่างดี การทำบุญขนาดนี้ เขาได้แรงดลใจจากแม่ที่ย้ำเสมอว่า “ความร่ำรวยมาพร้อมกับหน้าที่ที่จะต้องบริจาคต่อไป” 

ในฐานะผู้ติดตามความคิดและพฤติกรรมของบิล เกตส์ และผู้ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจและในชีวิตหลายด้านมาอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่า บิล เกตส์น่าจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมานานแล้ว หวังว่าเขาจะได้ในปีนี้ สำหรับผู้ที่คิดว่าเรื่องราวของตนไม่สำคัญ ขอเรียนว่ามันสำคัญสำหรับลูกหลานแน่นอน ฉะนั้น จึงควรบันทึกไว้โดยเฉพาะเมื่อตนเริ่มเฒ่า หรือเข้าวัยทอง