เบสเซนต์ย้ำหลักการ 'ดอลลาร์จะยังแข็งค่า' ในยุคทรัมป์

รมว.คลังสหรัฐย้ำ ดอลลาร์จะยังคงแข็งค่าต่อไปในยุครัฐบาลทรัมป์ แต่จะไม่ยอมให้ประเทศอื่นลดค่าเงินเพื่อบิดเบือนการค้า
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยกับบลูมเบิร์กว่า สหรัฐจะยังคงนโยบาย “ดอลลาร์แข็งค่า” ต่อไปภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
“เราต้องการให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และสิ่งที่เราไม่ต้องการก็คือการที่ประเทศอื่นทำให้สกุลเงินของตนเองอ่อนค่าลงเพื่อบิดเบือนการค้า” เบสเซนต์กล่าว
ขุนคลังสหรัฐอธิบายว่า หลายประเทศกำลังเผชิญกับ "การสะสมส่วนเกินจำนวนมาก จึงไม่มีระบบการซื้อขายที่เป็นอิสระ" ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยน และ "การกดอัตราดอกเบี้ย" ในบางพื้นที่ แต่ไม่ได้ระบุชื่อประเทศใดเป็นพิเศษ
ทางด้านดัชนี Bloomberg Dollar Spot แทบไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เบสเซนต์ให้สัมภาษณ์ จากนั้นจึงร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในช่วงบ่ายวันพฤหัสฯ ในการซื้อขายที่นิวยอร์ก
ทั้งนี้ เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเน้นย้ำถึงคุณค่าของหลักการ "ดอลลาร์แข็งค่า" โดยยกย่องว่าเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ
แต่ในช่วงการดำรงตำแหน่ง "วาระแรกของทรัมป์" หลายคนมองว่านโยบายที่เรียกว่าดอลลาร์แข็งค่าได้ถูกละเลยไป เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นมีมุมมองว่านโยบายดังกล่าวทำให้การส่งออกของสหรัฐลดลง และทำให้รายได้ของบริษัทข้ามชาติสหรัฐที่มาจากต่างประเทศลดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แข็งค่าขึ้นตั้งแต่ก่อนและหลังเลือกตั้งเดือนพ.ย. 2567 เป็นต้นมา จากนโยบายต่างๆ ของทรัมป์โดยเฉพาะการเรียกเก็บภาษีศุลกากรและการลดภาษีในบ้าน ที่คาดว่าจะกระตุ้นทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และยังทำให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ช้าลง
ในช่วงปลายโค้งการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา ทรัมป์เองก็เพิ่งวิพากษ์วิจารณ์การแข็งค่าของดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เขายังให้คำมั่นว่าจะรักษาบทบาทที่โดดเด่นของดอลลาร์ในระดับโลก และสนับสนุนนโยบายที่นักเศรษฐศาสตร์และนักกลยุทธ์มองว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าของดอลลาร์
“เราต้องการการค้าที่เป็นธรรม และส่วนหนึ่งก็คือการมีจุดยืนที่เข้มแข็งต่อสกุลเงินและเงื่อนไขทางการค้า” เบสเซนต์กล่าว