ใครได้ใครเสีย จากทรัมป์ลงนามเก็บภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียม 25%

ใครได้ใครเสีย จากทรัมป์ลงนามเก็บภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียม 25%

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ในวันจันทร์ ใครได้ใครเสียกับการเก็บภาษีครั้งนี้

โลหะทั้งสองชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการขนส่ง การก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์ โดยภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่า เขากำลังวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษีดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของผู้ผลิตเหล็กในวันจันทร์ ซึ่งรวมถึง Cleveland-Cliffs, Nucor และ U.S. Steel พุ่งสูงขึ้น

ซีเอ็นบีซีรวบรวมรายชื่อประเทศที่มีโอกาสได้ และเสียประโยชน์มากที่สุดภายใต้ภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียม 25%

  •    สหรัฐอเมริกา

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ไม่น่าแปลกใจผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากภาษีการค้าน่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา โดยข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่าการนำเข้าเหล็กของสหรัฐ ลดลงอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยลดลง 35% ระหว่างปี 2014 ถึง 2024 แม้ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5% ต่อปีเป็น 26.2 ล้านเมตริกตันในปีที่แล้ว หลายคนเชื่อว่าสาเหตุนี้มาจากภาษีที่นำมาใช้ภายใต้รัฐบาลชุดแรกของทรัมป์

 อย่างไรก็ตาม การนำเข้าอะลูมิเนียมของอเมริกาเพิ่มขึ้น 14% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยการส่งออกโลหะชนิดนี้ของสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020

 เมื่อวันจันทร์ เจมส์ แคมป์เบลล์ นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ CRU กล่าวกับซีเอ็นบีซี ว่าเขาคาดว่าภาษีศุลกากรที่อาจเกิดขึ้นจะมีผลกระทบต่อสหรัฐ แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา

 “ในช่วงเริ่มต้น สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อความต้องการ” เขากล่าว “ในระยะยาว เราจะได้เห็นการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น”

ตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นภาษีศุลกากรครั้งแรกในปี 2018 แคมป์เบลล์จาก CRU กล่าวว่า สหรัฐได้เห็นการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งในภาคส่วนเหล็ก และอะลูมิเนียม

 ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียมจากแคนาดา เม็กซิโก และสหภาพยุโรป นอกจากนี้ รัฐบาลของเขายังได้จำกัดปริมาณการนำเข้าจากประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้ อาร์เจนตินา และออสเตรเลีย

 รายงานฉบับหลังของ Congressional Research Service พบว่าในช่วง 5 เดือนแรกของนโยบายนี้ รัฐบาลทรัมป์สามารถเก็บรายได้มากกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์

  •  แคนาดา และเม็กซิโก

ทั้งสองประเทศเป็นผู้ส่งออกเหล็ก และอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐ ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรหากมีผลบังคับใช้ แม้ว่าจะได้รับการผ่อนผันชั่วคราวจากภาษีศุลกากรทั่วไปสำหรับสินค้าส่งออกทั้งหมดไปยังอเมริกาก็ตาม ในปีที่แล้วแคนาดาส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐมากเป็นอันดับหนึ่งมูลค่า 7.14 พันล้านดอลลาร์ ส่งออกอะลูมิเนียมมากเป็นอันดับหนึ่งมูลค่า 9.42 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่เม็กซิโกส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐ 3.5 พันล้านดอลลาร์ และอะลูมิเนียม 360 ล้านดอลลาร์ ติดอันดับ 2 และ 8 ตามลำดับ

  •  เยอรมนี

เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่อันดับ 5 ไปยังสหรัฐอเมริกามูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากภาษีศุลกากร

อย่างไรก็ตาม Thyssenkrupp ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของยุโรป กล่าวกับซีเอ็นบีซีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า คาดว่าจะมี “ผลกระทบเพียงเล็กน้อย” ต่อธุรกิจของตน หากสหรัฐอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมสำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม

บริษัทในเยอรมนีนี้ กล่าวว่า ยุโรปยังคงเป็นตลาดหลักสำหรับเหล็ก โดยส่งออกเฉพาะผลิตภัณฑ์ “คุณภาพสูง” ไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทสามารถรักษา “ตำแหน่งทางการตลาดที่ดี” ไว้ได้

โฆษกของบริษัทกล่าวผ่านอีเมลว่า "ยอดขายส่วนใหญ่ของ Thyssenkrupp ในสหรัฐ มาจากธุรกิจการค้า และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์" "โดยหลักการแล้ว Thyssenkrupp มีตำแหน่งที่ดีในธุรกิจเหล่านี้ในสหรัฐ โดยมีส่วนแบ่งการผลิตในท้องถิ่นที่สำคัญสำหรับตลาดในท้องถิ่น การผลิตส่วนใหญ่สำหรับลูกค้าของสหรัฐเกิดขึ้นภายในสหรัฐ”

  •  ผู้ส่งออกในเอเชีย

เกาหลีใต้ เวียดนาม และญี่ปุ่น เป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าโลหะ หากทรัมป์ยังคงดำเนินนโยบายดังกล่าวต่อไป

 จากการวิเคราะห์ข้อมูลการค้าของสหรัฐของซีเอ็นบีซี พบว่าการนำเข้าเหล็กจากเวียดนามเติบโตขึ้นมากกว่า 140% จากปีก่อน นอกจากนี้ ไต้หวันยังส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้น 75% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับปีก่อน

 ตามข้อมูลของสำนักงานการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ ระบุว่าในปี 2024 สหรัฐ นำเข้าเหล็กจาก 79 ประเทศ และอะลูมิเนียมจาก 89 ประเทศ โดยการนำเข้าเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ “ไทยติดอันดับ10 ส่งออกอะลูมิเนียมไปสหรัฐมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์