เอเชียมีแต่เสียกับเสีย จากสงครามการค้า ’ทรัมป์’ ไทย-เวียดนาม เสี่ยงสุด

‘ทรัมป์’ จุดชนวนสงครามการค้า ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าประเทศที่เกินดุล ทำให้ตลาดเกิดใหม่ใน ‘เอเชีย’ มีแต่เสียกับเสีย 'ไทย-เวียดนาม' เสี่ยงสุด ไม่มีอำนาจต่อกลอนสหรัฐ โดนหางเลขท้ายจากจีน
KEY
POINTS
- กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียส่งออกไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 11% เป็น 18%
- 15 ประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าสูงสุด มีถึง 9 ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย
- ช่องว่างทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลถึง 343% ในขณะที่เวียดนามเพิ่มขึ้น 222%
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียมีแต่ “เสียกับเสีย” ใน ”สงครามการค้า” ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ ประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ได้ประกาศนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าที่เกินดุลสหรัฐ โดยช่องว่างดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐยิ่งขยายตัวมากขึ้นนับตั้งแต่ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" เมื่อ 8 ปีที่แล้ว
ช่องว่างเกินดุลการค้าระหว่างสหรัฐและเอเชียที่ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสี่ยงอย่างมากต่อประเทศคู่ค้าเหล่านี้ เพราะหากสหรัฐตัดสินใจขึ้นภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าในอัตราที่สูงขึ้น จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลงทุนภายในประเทศ และตลาดภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เอเชียมีแต่ ‘เสียกับเสีย’
ประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเชียกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจส่งผลเสียในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากสถิติการค้าระหว่างประเทศที่พบว่า ในบรรดา 15 ประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าสูงสุด มีถึง 9 ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย
สถานการณ์นี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่เรียกว่า "จีนบวกหนึ่ง" ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทสหรัฐเลือกที่จะไปลงทุนในประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับจีน แทนที่จะลงทุนในจีนโดยตรง แนวโน้มเช่นนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งวาระแรกและในช่วงการระบาดของโควิด-19
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียมีการส่งออกไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 11% เป็น 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ในขณะเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนแน่นแฟ้นขึ้นด้วย
นักเศรษฐศาสตร์จาก JP Morgan ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันการส่งออกของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียรวมกันถึง 45% เป็นการส่งออกไปยังสองประเทศหลักคือสหรัฐอเมริกาและจีน ที่น่าสนใจคือ และเมื่อพิจารณาการค้าเกินดุลเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ (GDP) พบว่า เกาหลีใต้มีการค้าเกินดุลกับสหรัฐสูงกว่าจีนถึง 2 เท่า ในขณะที่ไต้หวันมีการค้าเกินดุลคิดเป็นเกือบ 10% ของ GDP
‘เวียดนาม-ไทย’ เสี่ยงโดนเพ่งเล็ง
ท่ามกลางประเทศในเอเชียที่อาจได้รับผลกระทบ ไทยและเวียดนามเป็นสองประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ตามข้อมูลจากนักเศรษฐศาสตร์ของ Citi ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2560 ช่องว่างทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลถึง 343% ในขณะที่เวียดนามเพิ่มขึ้น 222% สถานการณ์นี้ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐสูงเป็นอันดับ 5 แซงหน้าทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ (หากนับสหภาพยุโรปเป็นกลุ่มเดียวกัน) จากปี 2560 ที่ไทยอยู่เพียงอันดับ 13 เท่านั้น
การค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาและจีนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม คิดเป็น 30% ของการส่งออกทั้งหมด อันดับ 2 คือจีน คิดเป็น 17% ของการส่งออกทั้งหมด โดยการส่งออกไปยังสหรัฐและจีนคิดเป็น 25% 14% ของ GDP ของเวียดนามตามลำดับ
แม้ว่าเศรษฐกิจของไทยและเวียดนามจะมีบทบาทสำคัญในการค้าโลก แต่ทั้งสองประเทศก็ยังไม่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากพอที่จะต่อต้านมาตรการภาษีของสหรัฐที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังอาจได้รับผลกระทบหากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์จากการลงทุนจำนวนมากจากจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ท่ามกลางสงครามการค้าที่กำลังรุนแรงขึ้น รวมทั้งทรัมป์ขู่ว่าจะดำเนินการกับสมาชิกกลุ่มนี้ แม้ว่า “อินโดนีเซีย” จะยังไม่ได้ตกเป็นเป้าก็ตาม หากมีการกำหนดภาษีศุลกากรที่เข้มงวด อินโดนีเซียจะกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายตลาดไปยังเอเชีย แอฟริกา และยุโรป
ทิศทาง ‘สงครามการค้า’ อยู่ในมือสหรัฐ
แม้สหรัฐจะปรับเปลี่ยนนโยบายการค้า แต่จีนก็ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งในตลาดโลกไว้ได้ ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "US Plus One" โดยข้อมูลจากนักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanley แสดงให้เห็นว่า การส่งออกของปักกิ่งไปยังตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 16% ในปี 2543 เป็นเกือบสามเท่าที่ 44% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2566 ในขณะที่สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐกลับลดลงจาก 21% เหลือเพียง 16% ของการส่งออกทั้งหมด
จิตตานี กันธารีจาก Morgan Stanley ระบุว่า ถึงแม้กฎเกณฑ์การค้าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ เอเชีย โดยเฉพาะจีน ยังคงเป็นศูนย์กลางของความสนใจในเวทีการค้าโลก และอย่าลืมว่า สหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของสิ่งที่อาจกลายเป็นสงครามการค้าระดับโลก ซึ่งน่าเป็นกังวลว่าประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายหลายประการจากสถานการณ์นี้
อ้างอิง Reuters