อนาคตไต้หวัน หากสหรัฐดึงอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ กลับประเทศ ?

อนาคตไต้หวัน หากสหรัฐดึงอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ กลับประเทศ ?

ทรัมป์ประกาศนโยบายดึงการผลิตชิปกลับสู่สหรัฐ พร้อมขู่เก็บภาษีนำเข้า 100% จากไต้หวัน และต้องการรื้อ CHIPS Act ของไบเดน ด้านไล่ ชิง-เต๋อ สนองด้วยการขยายการลงทุนในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 40% ของการลงทุนต่างประเทศทั้งหมด

KEY

POINTS

  • ทรัมป์ประกาศนโยบายดึงการผลิตชิปกลับสู่สหรัฐ พร้อมขู่เก็บภาษีนำเข้า 100% จากไต้หวัน และต้องการรื้อ CHIPS Act ของไบเดน
  • TSMC ครองส่วนแบ่งการผลิตชิปขั้นสูงถึง 90% ของตลาดโลก

ความตึงเครียดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลกทวีความรุนแรง เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศนโยบายดึงการผลิตชิปกลับสู่สหรัฐอเมริกา พร้อมขู่เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 100% กับสินค้าจากไต้หวัน ประเทศที่ครองความเป็นผู้นำในการผลิตชิปขั้นสูงของโลก

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคที่ชิปประมวลผลกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์และอุตสาหกรรมดิจิทัล และหนึ่งในท่าทีของทรัมป์หลังจากเข้ารับตำแหน่งคือการ “รื้อ” กฎหมาย CHIPS and Science Act หรือที่รู้จักในชื่อ CHIPS Act ของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน

 

ความลักลั่นของ “CHIPS Act”

CHIPS and Science Act เป็นกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติในปี 2022 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีไบเดน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยงบประมาณสนับสนุน 39,000 ล้านดอลลาร์ จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐพบว่า CHIPS Act มีการจัดสรรเงินสนับสนุนให้กับบริษัทต่างๆ เช่น HPI Federal LLC ได้รับเงินสนับสนุนถึง 53 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายและปรับปรุงโรงงานในเมือง Corvallis รัฐโอเรกอน โดยเงินสนับสนุนจะถูกจ่ายตามความสำเร็จของเป้าหมายโครงการ

ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงจุดยืนคัดค้าน CHIPS Act อย่างชัดเจน โดยมองว่าการใช้เงินอุดหนุนจำนวนมากเป็นนโยบายที่ไม่เหมาะสม ในการประชุมกับสมาชิกพรรครีพับลิกันเมื่อปลายเดือนมกราคม ทรัมป์กล่าวว่าต้องการให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์กลับมาผลิตในสหรัฐ แต่ไม่เห็นด้วยกับการให้เงินสนับสนุนหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเสนอให้ใช้มาตรการภาษีแทน นอกจากนี้ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลทรัมป์ ยังปฏิเสธที่จะให้คำมั่นว่าจะรักษาข้อตกลงที่บริษัทต่างๆ ได้ทำไว้กับรัฐบาลก่อนหน้านี้ด้วย

ภายใต้ CHIPS Act บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้รับเงินสนับสนุนอย่าง Intel ได้รับเงิน 7.9 พันล้านดอลลาร์สำหรับโครงการในสี่รัฐ และอีก 3 พันล้านดอลลาร์สำหรับการผลิตชิปให้กับกองทัพสหรัฐ ขณะที่ TSMC ได้รับเงินสนับสนุนถึง 6.6 พันล้านดอลลาร์สำหรับการสร้างโรงงานสามแห่งในฟีนิกซ์ อย่างไรก็ตาม เงินสนับสนุนเหล่านี้จะถูกจ่ายเป็นงวดตามความสำเร็จของเป้าหมายโครงการ โดย Intel ได้รับเงินไปแล้ว 2.2 พันล้านดอลลาร์ และ TSMC ได้รับไป 1.5 พันล้านดอลลาร์ก่อนที่รัฐบาลทรัมป์จะเข้ามาบริหารประเทศ

หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์แสดงความกังวลอย่างมากต่อบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act แต่ยังคงขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของ Intel ที่ประกาศลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในโรงงานประกอบและทดสอบในจีนเมื่อเดือนตุลาคม หลังจากที่ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจาก CHIPS Act ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act อย่าง TSMC, Samsung Electronics และ SK Hynix ต่างก็มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในจีน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS Act จะอนุญาตให้มีการลงทุนในจีนได้ แต่การดำเนินการดังกล่าวก็ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการส่งเสริมการผลิตภายในสหรัฐอเมริกา

ศึกหนักระหว่าง TSMC และ Intel

ทั้งนี้ TSMC ครองส่วนแบ่งการผลิตชิปขั้นสูงถึงร้อยละ 90 ของตลาดโลก ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง บริษัทเป็นผู้ผลิตให้กับ Apple Nvidia และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ การที่ TSMC มีความเชี่ยวชาญในการผลิตชิปขั้นสูงทำให้ไต้หวันมี "โล่ซิลิคอน" หรือ Silicon Shield ที่ช่วยป้องกันการรุกรานทางทหารจากจีน และดึงดูดการสนับสนุนจากสหรัฐ

อนาคตไต้หวัน หากสหรัฐดึงอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ กลับประเทศ ?

ในทางกลับกัน Intel ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ กลับประสบปัญหาในการแข่งขัน บริษัทล้มเหลวในการพัฒนาชิปสำหรับสมาร์ทโฟนและปัญญาประดิษฐ์ แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจากรัฐบาลไบเดนผ่าน CHIPS Act แต่ Intel ก็ยังคงประสบปัญหาทางการเงิน ต้องลดการจ้างงานและจำกัดแผนการขยายธุรกิจทั่วโลก

ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์ได้ดำเนินการหลายประการเพื่อฟื้นฟู Intel และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ รวมถึงการสนับสนุนการเจรจาระหว่าง Intel และ TSMC เพื่อให้ TSMC เข้ามาบริหารโรงงานผลิตชิปของ Intel ในสหรัฐ โดยมีแผนการแยกธุรกิจการผลิตออกจากการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Intel ซึ่ง TSMC อาจเข้าถือหุ้นส่วนใหญ่ในธุรกิจร่วมกับนักลงทุนกลุ่มอื่น ท่ามกลางคำกล่าวของรองประธานาธิบดี เจดี เเวนซ์ ที่ประกาศว่าระบบ AI ที่ทรงพลังที่สุดจะต้องสร้างในสหรัฐ ด้วยชิปที่ออกแบบและผลิตในอเมริกา

TSMC = ไต้หวัน (?)

หากนโยบายของทรัมป์สำเร็จ นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า ผลกระทบต่อไต้หวันอาจรุนแรง เนื่องจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไต้หวัน การสูญเสียฐานการผลิตไปยังสหรัฐ จะกระทบต่อการจ้างงาน การลงทุน และรายได้จากการส่งออก นอกจากนี้ ไต้หวันอาจสูญเสียโล่ซิลิคอนที่ช่วยป้องกันการรุกรานจากจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐ และอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไต้หวัน โดยการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็นสัดส่วนถึง 63% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ TSMC มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยในปี 2020บริษัทมีรายได้ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน คิดเป็น 58% ของการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของประเทศ ที่น่าสนใจคือมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ของ TSMC เพิ่มขึ้น 60% ในปี 2020 จนมีมูลค่าสูงถึง13.7 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP ประเทศที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน

อนาคตไต้หวัน หากสหรัฐดึงอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ กลับประเทศ ?

ท่าที ไล่ ชิง-เต๋อ ต่อทรัมป์

รัฐบาลและภาคเอกชนไต้หวันได้ตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ โดยประธานาธิบดีไล่ ชิง-เต๋อ ประกาศว่าจะร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนายุทธศาสตร์ตอบสนองต่อข้อกังวลของทรัมป์ พร้อมทั้งเตรียมแผนการเจรจากับสหรัฐ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไต้หวัน ในขณะที่ TSMC ก็ได้ขยายการลงทุนในสหรัฐ โดยสร้างโรงงานสามแห่งในฟีนิกซ์ และพยายามอธิบายถึงประโยชน์ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันต่อสหรัฐ

หนึ่งท่าทีที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. ไล่ประกาศมาตรการเชิงรุกหลายประการ โดยเน้นย้ำว่าไต้หวันเป็น "พันธมิตรที่ขาดไม่ได้" สำหรับสหรัฐในการฟื้นฟูภาคการผลิตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีขั้นสูง

เขาประกาศแผนขยายการลงทุนและการจัดซื้อจัดจ้างในสหรัฐพร้อมทั้งเสนอ "โครงการริเริ่มห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ประชาธิปไตยระดับโลก" นอกจากนี้ ยังเสนองบประมาณพิเศษเพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศให้สูงกว่า 3% ของจีดีพีซึ่งบ่งชี้ถึงความตั้งใจที่จะซื้ออุปกรณ์ป้องกันประเทศจากสหรัฐเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจากรัฐบาลไต้หวันแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในสหรัฐเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยภายในปี 2024 ไต้หวันได้ลงทุนในสหรัฐมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์และสร้างงาน 400,000 ตำแหน่ง การลงทุนที่มุ่งสู่สหรัฐคิดเป็นมากกว่า 40% ของการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมดของไต้หวันทั้งในปี 2023 และ 2024 ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนในจีนลดลงเหลือเพียง 11% และ 8% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของไต้หวันอย่างมีนัยสำคัญ

ในสถานการณ์ปัจจุบัน TSMC และรัฐบาลไต้หวันต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐ การเจรจาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมโรงงานของ Intel อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้ TSMC รักษาบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก ในขณะเดียวกันก็ตอบสนองต่อความต้องการของรัฐบาลทรัมป์ในการฟื้นฟูการผลิตชิปในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนการนี้ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงการตอบรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของข้อตกลงที่จะเกิดขึ้น

ย้อนรอยความสำเร็จ TSMC

ความสำเร็จของ TSMC และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นผลมาจากนโยบายการลงทุนที่แข็งแกร่งของไต้หวัน ในทศวรรษ 1990 ไต้หวันรักษาสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ไว้ที่ระดับสูงกว่า 30% และแม้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยังคงรักษาระดับไว้ที่ 22% โดยเฉลี่ย การลงทุนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ภาคการผลิต ซึ่งตามมุมมองของ รูชิร์ ชาร์มา นักกลยุทธ์โลกของ Morgan Stanley ระบุว่าประเทศที่รักษาสัดส่วนการลงทุนระหว่าง 25-35% ของ จีดีพีมักจะมีการเติบโตที่ยั่งยืน โดยเฉพาะหากการลงทุนนั้นอยู่ในภาคการผลิต

อนาคตไต้หวัน หากสหรัฐดึงอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ กลับประเทศ ?

นอกจากนี้ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไต้หวันกลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เติบโตได้ โดยจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 3% ในปี 2019 เป็น 3.1% ในปี 2020 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 20% ท่ามกลางความต้องการชิปที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก

อ้างอิง

  1. Exclusive: Trump prepares to change US CHIPS Act conditions, sources say
  2. With Trump’s Help, Intel Could Hand Control of Chip Plants to TSMC
  3. Trump administration declares 'most powerful' AI chips will be built in America
  4. Semiconductor giant TSMC considers running Intel’s US factories 
  5. Taiwan’s Economy and the Big Chip on its Shoulder