‘หุ้นสหรัฐ’ พุ่งทำนิวไฮไม่หยุด เสี่ยงเกิด ‘ฟองสบู่’ ฉุดดัชนี S&P 500 ดิ่ง 40%

‘หุ้นสหรัฐ’ พุ่งทำนิวไฮต่อเนื่อง ปิดตลาดบวก 3 วันติด BofA เตื่อนเสี่ยงเกิด ‘ฟองสบู่’ ซ้ำรอย ‘Nifty Fifty’ และ ‘dot-com’ เมื่อหุ้นใหญ่มีอิทธิพลต่อตลาด อาจฉุดดัชนี S&P 500 ดิ่ง 40%
ซีเอ็นบีซีรายงาน “ดัชนี S&P 500” ปิดตลาดวันที่ 18 ก.พ. 68 ทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งเป็นการปิดตลาดบวกถึง 3 วันติดต่อกันท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความผันผวนทางการค้าทั่วโลกและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความตื่นเต้นของนักลงทุนในกระแส AI เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของ “ฟองสบู่” ในตลาดหุ้นสหรัฐ
จบฤดูกาล ‘ผลประกอบการ’
ลอรี คาลวาซิน่า นักวิเคราะห์หุ้นสหรัฐจาก RBC Capital Markets กล่าวว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นในขณะนี้ อาจเป็นเพราะนักลงทุนกำลังจับตาดูความเปลี่ยนแปลงของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์ รวมถึงรายงานผลประกอบการล่าสุด
ฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยบริษัท 383 แห่งในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการครบทุกบริษัทเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา จากข้อมูลของ LSEG พบว่า 74% ของบริษัทเหล่านี้มีผลประกอบการดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ปัจจุบัน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรไตรมาสที่ 4 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเติบโตขึ้น 15.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการประมาณการเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ 9.6%
ดัชนี S&P 500 เสี่ยงดิ่ง 40%
แบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) เผยแพร่รายงานระบุว่า หุ้นที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกในในสหรัฐบนดัชนี S&P 500 คิดเป็น 26.4% ของดัชนีทั้งหมด นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่ม "เศรษฐกิจใหม่" ยังมีมูลค่าตลาดรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่ารวมของดัชนี S&P 500 ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
จาเร็ด วูดเวิร์ด นักวิเคราะห์ของ Bank of America เตือนว่าตลาดมีความเข้มข้นสูงคือการลงทุนแบบ Passive ซึ่งนักลงทุนเทเงินเข้าไปในดัชนีโดยไม่พิจารณาเป็นรายตัว จากตัวเลขของกองทุน Passive ที่มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 54% แม้ว่าการไม่ประเมินมูลค่าและปัจจัยพื้นฐานส่งผลให้เกิดนวัตกรรมมากขึ้น แต่จะมีความเสี่ยงมากขึ้นในช่วงขาลง
วูดเวิร์ดเตือนว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงคล้ายกับช่วงฟองสบู่ "Nifty Fifty" ในทศวรรษ 1960 และ "ฟองสบู่ดอทคอม" ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เนื่องจากนักลงทุนยังคงซื้อหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโมเมนตัมการลงทุนที่รุนแรงในหุ้นกลุ่ม "เศรษฐกิจใหม่" เช่น หุ้นเทคโนโลยี อาจทำให้หุ้นกลุ่มนี้ลดลงมากกว่า 50% ซึ่งจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมลดลงถึง 40%
นอกจากนี้ วูดเวิร์ดพูดถึงตลาดหุ้นสหรัฐที่ไม่มีความแข็งแกร่งและไม่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ถ้าหากหุ้นใน 8 กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม 'เศรษฐกิจใหม่' เพิ่มขึ้น 10% และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่บางส่วนลดลง 10% ดัชนีโดยรวมก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
ป้องกัน ‘ตลาดหมี’
แบงก์ออฟอเมริกากล่าวถึงหนทางป้องกันภาวะตลาดหมีและ "ทศวรรษที่สูญเสีย" ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
วูดเวิร์ดกล่าวว่าสิ่งแรกที่ต้องจับตามองคือเมื่อดัชนี S&P 500 แบบถ่วงน้ำหนักเท่ากันเริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าดัชนีแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด นอกจากนี้ ควรพิจารณาลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น Magnificent Seven และกระจายความเสี่ยงไม่ควรถือหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตเกิน 15%
อ้างอิง businessinsider