‘ยุโรป’ จะกลับมาซื้อก๊าซรัสเซียหรือไม่ จุดยืนไม่คบรัสเซีย VS ผลประโยชน์ศก.

‘ยุโรป’ จะกลับมาซื้อก๊าซรัสเซียหรือไม่ จุดยืนไม่คบรัสเซีย VS ผลประโยชน์ศก.

หากสงครามในยูเครนยุติลง ‘ยุโรป’ จะยังคงตัดขาดพลังงานรัสเซียตามหลักการที่เคยประกาศ หรือยอมกลับไปพึ่งพาก๊าซราคาถูก เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ? บททดสอบครั้งสำคัญระหว่าง ‘จุดยืน’ กับ ‘ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ’

ผ่านมาแล้ว 3 ปีที่ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปไม่น้อย ในขณะเดียวกัน ยุโรป ที่เคยพึ่งพา ก๊าซรัสเซีย กว่า 40% ก็ได้รับผลกระทบนี้ด้วย เมื่อมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อกดดันให้ถอนทหารออกจากยูเครน ได้ทำให้ยุโรปต้องหันไปพึ่งพา “ก๊าซจากทางไกล” อย่างสหรัฐ กาตาร์ และนอร์เวย์ที่มีราคาสูงกว่าแทน จนทำให้ต้นทุนอุตสาหกรรมสูงขึ้น และเป็นตัวเร่งให้ค่าครองชีพของประเทศพุ่งทะยาน

ในทิศทางสงครามที่ไม่รู้ว่าสิ้นสุดลงเมื่อใด ก็ดูเหมือนเปลี่ยนไป เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐได้ส่งสัญญาณการยุติสงครามนี้ให้เร็วที่สุด กลายเป็นคำถามที่น่าสนใจต่อว่า หลังสงครามจบแล้ว สหภาพยุโรป (EU) ที่เคยประกาศจุดยืนไม่คบค้ากับรัสเซียอีกต่อไป จะกลับมาซื้อก๊าซจากรัสเซียหรือไม่ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 

เมื่อความจำเป็น บีบให้คิดถึง ‘ก๊าซรัสเซีย’ อีกครั้ง?

ในบรรดาประเทศในยุโรป “ฮังการี” และ “สโลวาเกีย” กำลังผลักดันประเด็นซื้อก๊าซจากรัสเซีย ขณะที่ฟริดริช เมิร์ซ ซึ่งมีแนวโน้มอาจได้เป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีในเร็ว ๆ นี้กล่าวว่า จะไม่มีการกลับไปใช้ก๊าซรัสเซีย “ในขณะนี้” แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้นี้โดยสิ้นเชิง

จารี สเตห์น นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า การยุติสงครามจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของยุโรป เติบโตขึ้น 0.5% โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาก๊าซที่ถูกลง 

ในระดับการใช้พลังงานตามปกติ สหภาพยุโรปบริโภคก๊าซปีละ 320,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีความจุในการกักเก็บราว 115,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณบริโภคทั้งหมด คลังสำรองเหล่านี้จะเกือบเต็มเมื่อฤดูหนาวเริ่มต้นขึ้น แต่ตั้งแต่นั้นมา สภาพอากาศที่หนาวเหน็บประกอบกับปัญหาด้านอุปทาน ได้บีบให้สหภาพยุโรปใช้ก๊าซมากกว่าที่คาดไว้

ในขณะนี้ คลังสำรองก๊าซของสหภาพยุโรปเหลือเพียง 44% ของความจุทั้งหมด เทียบกับ 66% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เหล่านักวิเคราะห์คาดว่า ปริมาณสำรองจะลดลงเหลือช่วง 30% ภายในสิ้นฤดูหนาว ซึ่งจะบีบให้ผู้ใช้พลังงานรายใหญ่อย่างผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ และโรงถลุงเหล็กต้องปรับลดการผลิตลง โดยผลผลิตของอุตสาหกรรมยุโรปที่อ่อนแออยู่แล้ว ก็น่าจะหดตัวลงไปอีก

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาใหญ่กว่ากำลังรออยู่ในช่วงฤดูร้อน กฎระเบียบของสหภาพยุโรปกำหนดให้คลังสำรองก๊าซต้องถูกเติมเต็มอย่างน้อย 90% ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน โดยปกติแล้ว การสำรองก๊าซจะเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม 

ทว่าในปีนี้ ยุโรปจะต้องเร่งซื้อมากกว่าปกติ ในขณะเดียวกัน ประเทศนำเข้าในเอเชียก็กำลังเร่งเติมคลังสำรองของตนเช่นกัน ซึ่งอุปทานที่มีในตลาดมีจำกัด แม้จะมีการคาดการณ์ว่าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐและกาตาร์จะเข้ามาเพิ่มเติม แต่ส่วนใหญ่จะถูกส่งมาถึงในปีหน้า

ด้วยปัจจัยกดดันดังที่กล่าวมา การนำเข้าก๊าซรัสเซียได้ขึ้นเป็นประเด็นถกเถียงในยุโรปอีกครั้ง แม้ว่าอียูตั้งเป้าหมายลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียให้เป็นศูนย์ภายในปี 2027 แต่ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นและแรงกดดันทางเศรษฐกิจ อาจทำให้ยุโรปหันไปพิจารณาว่า จะกลับไปใช้ก๊าซจากรัสเซียหรือไม่

‘Trust’ พื้นฐานสำคัญของการค้าขาย 

แม้มีความลำบากทางเศรษฐกิจมากดดัน แต่การกลับไปซื้อก๊าซรัสเซียก็ไม่ง่าย ด้วยความท้าทายหลายประการ อย่างแรกคือ ท่อส่งก๊าซ Nord Stream สามในสี่เส้นได้รับความเสียหายและต้องได้รับการซ่อมแซม ซึ่งค่าซ่อมแซมอาจอยู่ในระดับสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์ ตามความเห็นไมค์ ฟูลวูด จากสถาบัน Oxford Institute for Energy Studies

‘ยุโรป’ จะกลับมาซื้อก๊าซรัสเซียหรือไม่ จุดยืนไม่คบรัสเซีย VS ผลประโยชน์ศก.

- ท่อก๊าซ Nord Stream (เครดิต: Shutterstock) -

เหตุผลถัดมาที่สำคัญที่สุด คือ “ความไม่ไว้ใจรัสเซีย” แม้การริเริ่มยุติสงครามจะถูกจุดขึ้นแล้วโดยสหรัฐ แต่สันติภาพที่ยุโรปต้องการนั้นไม่ใช่เพียงข้อความบนสนธิสัญญา แต่ควรเป็นสันติภาพที่ยั่งยืนและบังคับใช้ได้จริง ดังนั้น ก่อนที่จะไปสู่จุดการซื้อก๊าซจากรัสเซียหรือไม่ การจบสงครามเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นก่อน โดยในตอนนี้เกิด “ความไม่ไว้วางใจกัน” ระหว่างทั้งสองฝั่ง ฝั่งรัสเซียมองว่ากองทัพนาโต้ซึ่งมีสหรัฐและยุโรป ได้แผ่อิทธิพลทหารเข้ามาปิดล้อมรัสเซียเหมือน “หมากล้อม” จึงชิงลงมือก่อนด้วยการบุกยูเครน 

‘ยุโรป’ จะกลับมาซื้อก๊าซรัสเซียหรือไม่ จุดยืนไม่คบรัสเซีย VS ผลประโยชน์ศก.

ในขณะเดียวกัน ฝั่งยุโรปมองว่า การยุติสู้รบกับรัสเซียและกลับมาซื้อก๊าซรัสเซียอีกครั้ง จะเปิดโอกาสให้รัสเซียฟื้นฟูเศรษฐกิจตัวเอง และอาจกลับมายึดส่วนที่เหลือของยูเครนอีกหรือไม่ หลังจากที่เคยผนวกคาบสมุทรไครเมียของยูเครนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียเมื่อปี 2014

ด้วยเหตุนี้ การจบสงครามควรตามมาด้วยการสร้าง “เขตปลอดทหาร” กั้นขวางหรือไม่ ที่ไม่มีทั้งทหารหรืออาวุธของฝ่ายใดเข้ามาตั้ง เพื่อลดความระแวงซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้ มีแนวคิดจาก เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรที่จะเสนอต่อปธน.ทรัมป์ในการส่งกองทัพยุโรปเข้าไปประจำการในยูเครน โดยไม่ใช่อยู่แนวหน้า แต่อยู่ตามเมือง ท่าเรือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของยูเครน เพื่อเป็นหลักประกันในข้อตกลงสันติภาพ 

จากแนวคิดนี้ “หากข้อตกลงถูกละเมิด” ไม่ว่าจากฝั่งใดก็ตาม จะไม่ใช่การรบระหว่างรัสเซียกับยูเครนอีกต่อไป แต่จะเป็นระหว่าง “รัสเซีย” กับ “ยุโรป” แทน ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าสู่บทบัญญัติมาตรา 5 นาโต้ที่ว่า การโจมตีประเทศหนึ่งในนาโต้ ก็เท่ากับการโจมตีทุกประเทศ นั่นอาจกลายเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3” ได้

ด้วยเหตุนี้ คำถามที่ว่ายุโรปจะกลับมาซื้อก๊าซจากรัสเซียอีกหรือไม่ แม้ปัจจัยเศรษฐกิจจะเข้ามาบีบคั้นต่างๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดของการค้าขายระหว่างกันนั้นไม่ได้อยู่ที่ “ตัวเงิน” หากแต่อยู่ที่ “ความไว้วางใจ” ซึ่งต้องสร้างให้เกิดขึ้นก่อน
 

 

อ้างอิง: bbceconomisticeft