แฟชั่นยั่งยืนกำลังมา ผู้บริโภคยุคใหม่เลือกเสื้อผ้าไม่ทำลายโลก

แฟชั่นยั่งยืนกำลังมา! ผู้บริโภคยุคใหม่เลือกเสื้อผ้าไม่ทำลายโลก ดันอุตสาหกรรมแฟชั่นปรับตัว เกิดเทรนด์แฟชั่นหมุนเวียน ตลาดเสื้อผ้ามือสอง และนวัตกรรมรีไซเคิลมาแรง
อุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลก กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ ท่ามกลางความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น และการตระหนักรู้ของผู้บริโภคที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้แบรนด์และผู้กำหนดนโยบายต้องเร่งหาแนวทางที่ยั่งยืน
หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจคือ แฟชั่นหมุนเวียน (Circular Fashion) ที่เน้นลดของเสีย ยืดอายุการใช้งานเสื้อผ้า และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งต่างจากโมเดลเศรษฐกิจเส้นตรงแบบใช้แล้วทิ้ง (Linear Economy)
ฟาสต์แฟชั่น เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจาก Uniform Market ระบุว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าราว 150.82 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตขึ้น 10.74% จากปี 2024 คาดว่าในปี 2032 จะเพิ่มขึ้นเป็น 291.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบร้ายแรง อุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 1,700 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 10% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั้งหมด อีกทั้งยังใช้น้ำสูงถึง 215 ล้านล้านลิตรต่อปี เทียบเท่ากับสระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิกกว่า 86 ล้านสระ และยังเป็นแหล่งใหญ่ของมลพิษไมโครพลาสติกในมหาสมุทร ปัจจุบันพบว่ามีไมโครพลาสติกสะสมอยู่กว่า 171 ล้านล้านชิ้น และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในสองทศวรรษข้างหน้า
ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมการซื้อเปลี่ยนไป หลายคนหันมาใช้แพลตฟอร์มขายเสื้อผ้ามือสอง บริการเช่าเสื้อผ้า และการซ่อมแซมเสื้อผ้า ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญของแฟชั่นหมุนเวียน การรีไซเคิลกลายเป็นกุญแจสำคัญในการลดขยะสิ่งทอ หลายแบรนด์ลงทุนในเทคโนโลยี รีไซเคิลเส้นใย (Fiber-to-Fiber Recycling) เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าให้เป็นวัตถุดิบใหม่
แบรนด์ดังอย่าง Patagonia และ Levi’s เริ่มใช้วัสดุรีไซเคิลในคอลเลกชันของพวกเขา ขณะที่แบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์อย่าง Marine Serre นำผ้า Dead Stock หรือแม้แต่ผ้าปูที่นอนมาตัดเย็บใหม่จนกลายเป็นชุดเดรสระดับพรมแดง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการ Upcycled วัสดุเหลือใช้กลายเป็นชิ้นงานใหม่
ขณะเดียวกันตลาดแฟชั่นมือสองก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแพลตฟอร์มอย่าง Vinted, ThredUp และ Depop กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเสื้อผ้าราคาประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมสิ่งทอไทย เป็นรากฐานสำคัญของภาคการผลิตในประเทศ แบ่งออกเป็น ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยไทยมีจุดแข็งด้านการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์และไนลอน ปี 2566 การส่งออกเส้นใยและปั่นด้ายมีมูลค่า 1,020.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.5%
ขณะที่ผ้าผืนเผชิญกับการแข่งขันรุนแรง ทำให้มูลค่าการส่งออกลดลง 18.0% ในส่วนของปลายน้ำ เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มยังเป็นแหล่งรายได้หลัก แม้จะลดลง 15.4% อยู่ที่ 2,040.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดหลักคือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเบลเยียม ด้วยสภาวะเศรษฐกิจโลกและแรงงานที่ลดลง ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอต้องเร่งปรับตัว การลงทุนในเทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาทักษะแรงงาน จะช่วยเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
แนวคิดแฟชั่นหมุนเวียน (Circular Fashion) เป็นโอกาสสำคัญของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย ผู้ผลิตไทยเริ่มเข้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านนโยบายและมาตรการสนับสนุน เช่น การพัฒนาเส้นใยชีวภาพ การรีไซเคิลสิ่งทอ และการใช้พลังงานหมุนเวียน
ยกตัวอย่างแบรนด์ไทยที่สร้างธุรกิจจากแนวคิดนี้ เช่น Moreloop แพลตฟอร์มที่ช่วยลดขยะสิ่งทอ โดยนําผ้าส่วนเกินมาผลิตสินค้าใหม่, SC GRAND ผลิตเส้นใยจากของเสียอุตสาหกรรม, Indorama Ventures ที่ผลิตเส้นใยจากขวดพลาสติก PET และ Mr. Leaf ที่ใช้ใบตองตึงซึ่งมีความทนทานสูงเป็นวัสดุในการผลิตสินค้าต่าง ๆ ให้มีความยั่งยืน Key Success อยู่ที่ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดสิ่งทอยั่งยืนได้
นิทรรศการ ReThread: Weaving a Sustainable Future จัดโดย ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมกับ CEA เป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำคัญในการเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ผ่านการนำเสนอปัญหาสิ่งแวดล้อม แนวทางเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ปัจจัยขับเคลื่อนและอุปสรรคในพัฒนาเรื่องนี้ในประเทศ การมีส่วนร่วมของผู้บริโภคผ่านหลักการ 7R พร้อมทั้งนำเสนอตัวอย่างวัสดุและแบรนด์ที่ใช้แนวคิดหมุนเวียน
นิทรรศการนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้และร่วมขบคิดถึงการสนับสนุนสินค้าสิ่งทอและแฟชั่นที่ส่งผลกระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด โดยผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ฟรี ณ ห้อง MDIC ชั้น 2 (อาคารส่วนหลัง) TCDC กรุงเทพฯ