'กองทุนสำรองคริปโทฯ' ของทรัมป์ โอกาสเป็นไปได้แค่ไหน?

กองทุนสำรองคริปโททางยุทธศาสตร์ของ ‘ทรัมป์’ จะเป็นไปได้แค่ไหน? เปิด 4 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับอนาคตของ ‘บิตคอยน์‘ และตลาดคริปโทโลก
ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เปิดเผยข้อเสนอว่าจะตั้ง "กองทุนสำรองบิตคอยน์ทางยุทธศาสตร์" หรือ (Bitcoin Strategic Reserve Rund) ขึ้นมาในสหรัฐ คล้ายกับรูปแบบของกองทุนยุทศาสตร์น้ำมันสำรองในช่วงเดือน ธ.ค. 68 ที่ผ่านมา ทำให้ราคาบิตคอยน์ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่กว่า 1 แสนดอลลาร์
หลังจากนั้นในวันที่ 23 ม.ค. “โดนัลด์ ทรัมป์” ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลที่จะตั้ง "คณะทำงานด้านตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของประธานาธิบดี" ที่จะนำโดย David Sacks ในฐานะประธาน เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ โดยทีมงานนี้จะประกอบไปด้วยตัวแทนจากหน่วยงานรัฐบาลสำคัญ เช่น กระทรวงการคลัง, กระทรวงยุติธรรม, SEC (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) และ CFTC (สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์)
ล่าสุดวานนี้ (3 มี.ค.68) ทรัมป์ได้ประกาศข้อมูลเกี่ยวกับ “ทุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัล” ว่าคณะทำงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของประธานาธิบดี (President’s Working Group on Digital Assets) ได้รับคำสั่งให้รวม XRP, Solana และ ADA ของ Cardano เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรอง โดย “หัวใจของทุนสำรอง” คือ บิตคอยน์ (Bitcoin) และอีเธอเรียม (Ether)
กองทุนสำรองคริปโท คืออะไร ?
แนวคิดของการสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างในเดือนก.ค. 2567 ในระหว่างการประชุม Bitcoin ที่เมืองแนชวิลล์ เมื่อ “ซินเธีย ลัมมิส” วุฒิสมาชิกสหรัฐได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของกองทุนสำรอง โดยมีเป้าหมายที่จะใช้ Bitcoin เป็น "เทคโนโลยีการออม" ของรัฐบาล และเป็นเครื่องมือในการ "เสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุลของสหรัฐอเมริกา" นับตั้งแต่นั้นมา แนวคิดนี้ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์
ในมุมมองของรัฐบาลทรัมป์ การสร้างสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์นั้นสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการให้สหรัฐอเมริกาเป็น "เมืองหลวงของคริปโทของโลก" และยังสอดคล้องกับแผนของทรัมป์ที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรม การขุด Bitcoin ภายในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
นอกจากนี้ ตลาดคริปโทเชื่อว่าการจัดตั้งคลังสำรองคริปโทแห่งชาติจะช่วยแก้ปัญหา "หนี้สาธารณะ" ของประเทศได้ด้วย โดยมองว่าการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลของรัฐบาลจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล
อย่างไรก็ดี ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับรูปแบบที่แน่นอนของคลังสำรองคริปโท แต่จากคำสั่งของเขาได้ระบุว่าแหล่งที่มาของสกุลเงินดิจิทัลสำหรับคลังสำรองนี้อาจมาจากสินทรัพย์คริปโทที่ถูกยึดโดยรัฐบาลกลางผ่านการบังคับใช้กฎหมาย
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานเมื่อเดือนม.ค. 2568 ว่า ปัจจุบันรัฐบาลกลางสหรัฐมีบิตคอยน์ที่ถูกยึดไว้มูลค่าประมาณ 19,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 6.45 แสนล้านบาท) ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างคลังสำรองเชิงกลยุทธ์นี้ได้
ประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบ คือการที่ทรัมป์จะมีนโยบายซื้อคริปโทเพิ่มในปริมาณมากเพื่อเพิ่มเติมในคลังสำรองหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นการกระตุ้นตลาดคริปโท อย่างไรก็ตาม นิวยอร์กไทมส์ระบุว่าการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวอาจจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาก่อน
2 โอกาสเกิด ‘กองทุนคริปโท’
เว็บไซต์คอยน์แชร์รายงานว่า ปัจจุบันมี 2 ความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์ ทั้งสองแนวทางมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่มีวิธีการดำเนินงานที่แตกต่างกัน
แนวทางแรก คือ การออก "พระราชบัญญัติบิตคอยน์" (Bitcoin Act) ถือเป็นแนวทางที่มีผลกระทบในวงกว้างมากที่สุด และในขณะเดียวกันก็เป็นแนวทางที่มีความท้าทายทางการเมืองสูงที่สุดด้วย แนวทางนี้ต้องการให้มีการออกกฎหมายอย่างเป็นทางการเพื่อรองรับการจัดตั้งคลังสำรอง ซึ่งจำเป็นต้องผ่านการพิจารณาและอนุมัติจากรัฐสภา
การสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ ตามที่ระบุไว้ใน "Bitcoin Act of 2024" กำหนดให้สหรัฐอเมริกาต้องซื้อ Bitcoin จำนวน 1 ล้านเหรียญในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นประมาณ 5% ของอุปทาน Bitcoin ทั้งหมดในโลก
ตามข้อมูลของ Bitcoin Laws ระบุว่าขณะนี้ได้มีการเสนอร่างกฎหมายกองทุนสำรองคริปโทเชิงยุทธศาสตร์ใน 24 รัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ในเดือนที่ผ่านมา ร่างกฎหมายสำรองคริปโทเผชิญกับความ “ล้มเหลว” ใน 4 รัฐ โดย สมาชิกรัฐสภาในรัฐมอนทานา นอร์ทดาโกตา เซาท์ดาโกตา และไวโอมิง ต่างลงคะแนนเสียงคัดค้านการจัดตั้งกองทุนสำรองคริปโทระดับรัฐ โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงและความผันผวนที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล
ส่วนแนวทางที่ 2 คือ "การออกเป็นคำสั่งฝ่ายบริหาร" (Executive Order) ซึ่งถูกมองว่ามีความเป็นไปได้มากกว่าในการสร้างกองทุนสำรอง Bitcoin ตราบใดที่คำสั่งนั้นไม่ขัดต่อกฎหมาย ประธานาธิบดีมีอำนาจในการออกคำสั่งฝ่ายบริหารได้ตามที่เห็นสมควร โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ดังนั้นหากทรัมป์ต้องการออกคำสั่งดังกล่าว ก็สามารถทำได้ตามอำนาจ
ในขณะที่อุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัลแสดงความยินดีกับข่าวการจัดตั้งคลังสำรองคริปโทแห่งชาติ แต่ในอีกด้านหนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านกลับแสดงความกังวลต่อข้อเสนอดังกล่าว
พวกเขาได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะ "ความผันผวนสูง" ของสกุลเงินดิจิทัล โดยโต้แย้งว่าการที่รัฐบาลเข้าไปลงทุนซื้อสกุลเงินดิจิทัลนั้นเปรียบเสมือนการพนันขนาดใหญ่ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่ถือครองสกุลเงินดิจิทัลอยู่แล้วเป็นหลัก และหากเกิดภาวะตลาดร่วงในอุตสาหกรรมนี้ ก็อาจทำให้เงินภาษีของประชาชนหลายพันล้านดอลลาร์สูญเปล่า
มาร์ก แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Moody's Analytics ไม่เห็นถึงเหตุผลที่ชัดเจนในการจัดตั้งคลังสำรองดังกล่าว แม้จะเข้าใจว่าทำไมนักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลจึงชื่นชอบแนวคิดนี้ แต่นอกเหนือจากนักลงทุนกลุ่มนี้ แซนดีไม่เห็นคุณค่าของการดำเนินการเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้เสียภาษีต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
'ทรัมป์' มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับกองทุนนี้
นับตั้งแต่ “โดนัล ทรัมป์” ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ย. 2567 ราคา Bitcoin ทะยานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พุ่งกว่า 109,000 ดอลลาร์ในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง 20 ม.ค. 2568
ก่อนหน้าพิธีสาบานตน โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเปิดตัวเหรียญมีม “$Trump” หรือ “เหรียญทรัมป์” ทำให้มูลค่าการซื้อขายพุ่งไปเกือบ 5,500 ล้านดอลลาร์ และหนึ่งวันถัดมา เมลาเนีย ทรัมป์ ภรรยาของเขาก็ได้เปิดตัวเหรียญมีมในชื่อ “MELANIA” เช่นกัน
ในอดีตที่ผ่านมา ทรัมป์ไม่ชอบคริปโท ถึงขนาดโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า “ผมไม่ชอบ Bitcoin และเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ เพราะมันไม่ใช่เงิน ซึ่งมูลค่าของพวกมันมีพื้นฐานมาจากอากาศ และผันผวนอย่างมาก” แต่หลังจากที่ทรัมป์ยอมรับอุตสาหกรรมนี้ ทำให้ทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนในตลาดหลายคน รวมทั้งฝาแฝดมหาเศรษฐีไทเลอร์และคาเมรอน จากตระกูล วิงเคิลวอส
รายงานจากกลุ่ม Public Citizen พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของเงินจากบริษัทต่างๆ ที่ไหลเข้าสู่การเลือกตั้งมาจากอุตสาหกรรมคริปโท เงินจำนวนดังกล่าวมาจากผู้ร่วมบริจาคหลายราย เช่น บริษัท Coinbase และ Ripple โดยผู้บริจาคอย่างน้อย 18 รายมอบบิตคอยน์มากกว่า 5.5 ล้านดอลลาร์ให้กับคณะกรรมการฯ ทรัมป์ 47 และอีก 7 รายมอบอีเธอร์ประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์
จากการประกาศครั้งล่าสุดของทรัมป์ ในการเพิ่ม 3 เหรียญทางเลือกอัลท์คอยน์ (Altcoin) เข้าไปในทุนสำรองทำให้ ADA พุ่งขึ้นมากกว่า 50% XRP พุ่งขึ้น 30% และ Solana พุ่งขึ้นมากกว่า 20%
ก่อนหน้านี้มีรูปถ่ายของ แบรด การ์ลิงเฮาส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Ripple บริษัทพัฒนาเหรียญ XRP ขณะรับประทานอาหารค่ำร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์ที่ Mar-a-Lago ซึ่งการ์ลิงเฮาส์กล่าวในเดือนธ.ค. 2567 ว่า Ripple มีแผนที่จะบริจาค XRP มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทุนสาบานตนของทรัมป์
ถ้า ‘กองทุนคริปโท’ สำเร็จ อนาคต ‘บิตคอยน์’ จะเป็นอย่างไร?
เมื่อพิจารณาจากบทบาทอันทรงอิทธิพลของสหรัฐ ในเศรษฐกิจโลก การสร้างสำรองคริปโทเชิงยุทธศาสตร์น่าจะช่วยกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ เริ่มซื้อบิตคอยน์เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันมีบางประเทศได้วางแผนสำหรับสำรองบิตคอยน์แล้ว ซึ่งมีการคาดเดาว่า "จีน" และ "รัสเซีย" อาจเข้ามามีบทบาท หากสิ่งนี้กลายเป็น "การแข่งขันอาวุธบิตคอยน์” ระหว่างมหาอำนาจคู่แข่ง ซึ่งอาจทำให้ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นและจะกระตุ้นให้รัฐบาลทั่วโลกซื้อบิตคอยน์มากขึ้น พร้อมกับเป็นตัวเร่งการนำบิตคอยน์มาใช้อย่างแพร่หลายในฐานะสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลก
แนวโน้มนี้ยังทำให้กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (SWF) และธนาคารกลางจำนวนมากได้พิจารณาเพิ่มการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเพื่อรับประโยชน์จากตลาดที่กำลังเติบโต เช่น กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ได้ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล โดยเป็นเจ้าของบิตคอยน์ทั้งหมด 2,446 เหรียญบิตคอยน์ ในครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 938 เหรียญบิตคอยน์ จากช่วงสิ้นปี 2566
กระแสการนำบิตคอยน์มาเป็นทุนสำรองเกิดขึ้นจริงแล้วในบางประเทศ และกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในหลายประเทศ
- สหรัฐ
ตามรายงานล่าสุดของแพลตฟอร์ม River พบว่าปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐถือครองบิตคอยน์มากกว่า 200,000 เหรียญบิตคอยน์ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่ยึดมาจากคดีอาชญากรรม โดยสหรัฐเป็นหนึ่งใน 13 ประเทศที่ถือครอง Bitcoin
คณะกรรมาธิการธุรกิจและการพาณิชย์ของวุฒิสภา “เท็กซัส” ได้ผ่านร่างกฎหมายวุฒิสภา ในการการจัดตั้ง Bitcoin Reserve เชิงกลยุทธ์ ร่างกฎหมายนี้ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 9-0
- สหราชอาณาจักร
เว็บไซต์โกลบอลไฟแนนซ์รายงานว่าสหราชอาณาจักรถือครอง Bitcoin จำนวนมากเช่นกัน โดยสหราชอาณาจักรมี Bitcoin ประมาณ 61,200 เหรียญบิตคอยน์
- เอลซัลวาดอร์
ในปี 2564 เอลซัลวาดอร์กลายเป็นประเทศแรกที่นำบิตคอยน์มาใช้เป็นเงินที่ถูกกฎหมาย โดยประธานาธิบดี "นายิบ บูเคเล" มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
- สหภาพยุโรป
ซาราห์ คนาโฟ สมาชิกสภายุโรป ได้เรียกร้องให้สหภาพยุโรปยกเลิกโครงการเงินยูโรดิจิทัล และจัดตั้งคลังสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์แทน โดยเธอได้เตือนถึง "การล่อลวงแบบเบ็ดเสร็จ" จากธนาคารกลางยุโรป