กลจีนหมากอุยกูร์

การส่งกลับอุยกูร์ 40 คนเมื่อไม่กี่วันก่อน กลายเป็นประเด็นร้อนที่รัฐบาลโดนโจมตีอย่างหนักทั้งในประเทศและเวทีสากล เมื่อมองอย่างลึกซึ้งแล้วพบข้อผิดปกติหลายอย่างที่ไม่น่าที่จะทำให้เกิดเรื่องครหาแบบนี้ขึ้นได้เลย ไม่อยากใช้คำว่าไทยเสียรู้จีนเข้าแล้ว
แต่อยากวิเคราะห์ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของจีนในประเด็นนี้ ว่าไม่ได้สนใจประเด็นอื่นใดมากไปกว่าการช่วงชิงมิตรประเทศในยุคที่แต่ละชาติผู้น้อยกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการวางตัวให้สมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ ท่ามกลางความขบกัดที่แรงขึ้นของสองมหาอำนาจสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก
ข้อเท็จจริงนั้นมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงด้านลบของจีนในสายตาชาติตะวันตกและมุสลิมเรื่องการจัดการปัญหาชาวอุยกูร์ การพยายามใช้ความรุนแรงเพื่อแยกแคว้นซินเจียงออกจากจีนโดยขบวนการ ETIM/TIP มีชาวอุยกูร์ลี้ภัยจากจีนโดยเข้ามายังไทยจำนวนไม่น้อยตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน และจีนดำรงความพยายามขอตัวคนเหล่านี้กลับจีน ขณะที่ก็มีชาติอื่นรวมทั้งตุรกีขอตัวคนเหล่านี้ไปเหมือนกัน ซึ่งไทยก็เคยส่งไปให้ทั้งจีนและตุรกี ทั้งยังควบคุมตัวคนอีกจำนวนหนึ่งไว้ในไทย
แต่กรณีส่งกลับคราวนี้ที่ยังมีข้อกังขา เช่น ทำไมจีนต้องเอากลับไปให้ได้ทั้งที่ไม่จำเป็น เพราะ 40 คนนี้อยู่ไทยมาสิบกว่าปีและไม่ได้ถูกจีนตีตราว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และเมื่อการส่งกลับเป็นเรื่องปิดลับที่ทางการไทยปฏิเสธว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริงอย่างแข็งขันในชั้นแรก แล้วทำไมจีนต้องเปิดเผยเรื่องนี้ก่อนด้วยคลิปภาพต่างๆ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย เพราะตอนแรกการกล่าวหาของฝ่ายค้านไทยไม่มีหลักฐานประจักษ์พยานอันใด
เพื่อตอบสองข้อกังขาดังกล่าวให้ได้ ต้องมีการวิเคราะห์ว่าจีนทำสิ่งที่ดูเหมือนไม่จำเป็นนั้นไปเพื่ออะไร ในเมื่อ 40 คนนี้ไม่เคยมีใครเป็นหรือเคยเป็นอันตรายต่อจีน ทำไมจีนต้องขอให้ไทยส่งกลับในห้วงเวลาเดียวกับที่กำลังชุลมุนส่งกลับพวกจีนเทาเมียวดีด้วย
หากจะบอกว่าฝ่ายไทยเอาใจจีนโดยแถมให้เองก็ออกจะไม่สมเหตุสมผล เพราะคนอุยกูร์กับคนจีนเทาเป็นคนละพวกคนละเคสกัน อยู่กันในไทยเป็นสิบปีแล้วจู่ๆ ก็ให้กลับโดยไม่มีเหตุอันควรก็แปลก แน่นอนว่าข่าวปูดจากพรรคประชาชนอาจทำให้มีคนกังวล แต่ในเมื่อฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่จริงไปแล้ว เรื่องก็จะสลายไปเองในไม่ช้า การปูดภาพของจีนกลับมาทำให้มิตรของจีนหน้าแตก แล้วอะไรล่ะที่จีนได้เป็นชิ้นเป็นอันจากเรื่องนี้
แม้ว่าจีนจะเปิดภาพการต้อนรับอย่างอบอุ่นของเครือญาติผู้กลับบ้าน แต่ก็ไม่น่าที่จะเปลี่ยนความคิดของโลกตะวันตกและมุสลิมได้ ต่อให้คลิปนั้นเป็นจริงแต่ก็อาจถูกคิดไปได้ว่ากระบวนการปรับเปลี่ยนวิถีชาวอุยกูร์นับล้านตั้งแต่ปี 2560 นั้นก็ย่อมจะมีบ้างที่ทำให้มีชาวซินเจียงจำนวนหนึ่งต้องอ่อนน้อมต่อจีนเพื่อความอยู่รอดของพวกเขาเอง แต่การดำเนินการดังกล่าวของฝ่ายจีนอาจจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าปัญหาอุยกูร์ นั่นคือสถานะของมิตรประเทศที่เข้าข้างจีน
แน่นอนว่ายกเว้นประเทศที่เป็นปรปักษ์กับฝ่ายสหรัฐอย่างโจ่งแจ้งแล้ว แต่ละชาติรวมทั้งไทยต่างเล่นบทไม่เลือกข้างกันทั้งนั้น เอาทั้งจีนและสหรัฐขาดชาติใดชาติหนึ่งไปหรือทำให้มหาอำนาจชาติใดไม่พอใจ ประเทศนั้นจะลำบาก แต่ในยามนี้ที่สหรัฐกำลังรุกบีบจีนมากขึ้น มีความเป็นไปได้สูงที่ชาติที่เป็นมิตรประเทศกับสหรัฐต้องร่วมมือกับสหรัฐมากขึ้น จีนที่มีมิตรแท้ที่ร่วมหัวจมท้ายน้อยกว่าสหรัฐอยู่แล้วย่อมประสบกับความยากลำบากมากกว่าเดิม
การสื่อสารให้โลกเห็นว่า จีนมีไทยเป็นเพื่อนนั้นไม่ได้มุ่งหวังว่าจะก่อให้เกิดพลังอะไรกับจีนเป็นน้ำเป็นเนื้อได้ก็จริง แต่ก็จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งมองไทยว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกันเพราะ “เลือกข้าง” จีนเสียแล้ว และในอนาคตไทยอาจต้องพึ่งพาแต่จีนเป็นหลักเท่านั้น
หากเรื่องส่งกลับอุยกูร์ไม่แดงขึ้นมาก็อาจมีผลดีบางอย่างแก่ฝ่ายไทยก็ได้ เพราะจนบัดนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าไทยกับจีนมีดีลดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อไทยบ้างหรือไม่ แต่เมื่อแดงขึ้นมาแล้ว เห็นแต่เรื่องร้อนอยู่ตรงหน้าทั้งนั้น
เริ่มตั้งแต่ความหวาดกลัวด้านความมั่นคง ที่ไม่รู้ว่าเราจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นที่ศาลพระพรหมเมื่อปี 2558 อีกหรือเปล่า กระแสการท่องเที่ยวในย่านอย่างเยาวราช ห้วยขวางหรือนิมมานจะได้รับผลกระทบต่อความหวาดกลัวนี้หรือไม่ อย่าประเมินการตอบโต้ของฝ่ายตะวันตกและฝ่ายมุสลิมโลกต่ำเกินไป
นี่ยังไม่รวมถึงความขัดแย้งกันภายในประเทศของเรา ระหว่างฝ่ายยึดถือสิทธิมนุษยชนกับฝ่ายเชื้อชาตินิยม ไม่อยากให้เลี้ยงดูผู้อพยพ ซึ่งกระแสกำลังแรงขึ้นมา ปัญหาเหล่านี้ในที่สุดก็จะพันไปที่ความนิยมของรัฐบาลไปด้วย
แล้วไทยจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ในชั้นต้นก็ต้องยอมรับว่าส่งกลับจริง แต่แย้มอย่างกลายๆ ว่าไม่มีทางเลือกเพราะถูกบีบจากจีน ทั้งยังแสดงให้เห็นว่า ไทยก็คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ไม่อยากให้ทั้ง 40 คนตายคาคุก บทที่เล่นนี้นับเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำหลังจากจีนตีกินไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่จะส่งผลในด้านความน่าเชื่อถือจากผู้รับสาส์นเท่าใดก็ต้องดูกันต่อไป