เบื้องหลังวงการบันเทิงสุดอลัง กับผลกระทบต่อโลก  Creative Economy

เปิดเบื้องหลังวงการบันเทิงสุดอลังการ กับผลกระทบที่มีต่อโลก พบภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อาจปล่อยคาร์บอนสูงเทียบเท่าพลังงานที่ใช้ในบ้านกว่า 656 หลังต่อปี

"อุตสาหกรรมบันเทิง" เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีอิทธิพลต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นวงการภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ การแสดงสด หรือวิชวลเอฟเฟกต์ (VFX) แต่ในขณะที่เรากำลังเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงเหล่านี้ หลายคนอาจมองข้ามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรม ซึ่งปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมหาศาล

เริ่มจาก “อุตสาหกรรมภาพยนตร์” ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนขนาดใหญ่ของวงการบันเทิง ข้อมูลจาก time.com ระบุว่า ภาพยนตร์แต่ละเรื่องสามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ในปริมาณที่แตกต่างกันไปตามขนาดของการผลิต ภาพยนตร์ขนาดเล็กสามารถปล่อยคาร์บอนได้เฉลี่ย 391 เมตริกตัน ขณะที่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อาจปล่อยคาร์บอนสูงถึง 3,370 เมตริกตัน ซึ่งเทียบเท่ากับพลังงานที่ใช้ในครัวเรือนกว่า 656 หลังต่อปี

เหตุปัจจัยมาจากกระบวนการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมากเพื่อจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์ถ่ายทำ รวมไปถึงการเดินทางของทีมงานและการขนส่งอุปกรณ์ต่าง ๆ กิจกรรมเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม

ข้ามมาที่ “วงการดนตรีและการแสดงสด” ซึ่งเป็นอีกภาคส่วนที่มีการปล่อยมลพิษในระดับสูง รายงานจาก nature.com ระบุว่าอุตสาหกรรมดนตรีของสหราชอาณาจักรปล่อยก๊าซคาร์บอนถึง 540,000 เมตริกตันต่อปี โดย 74% ของตัวเลขนี้มาจากการแสดงสด สาเหตุหลักมาจากการใช้พลังงานจำนวนมากในระบบแสง สี เสียง รวมถึงการขนส่งอุปกรณ์และศิลปินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก

ตัวอย่างเช่น ทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง การทัวร์แต่ละครั้งมีการแสดงย่อยถึง 152 โชว์ใน 5 ทวีปภายในระยะเวลา 21 เดือน ต้องอาศัยการขนย้ายเวที แสง สี เสียง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของศิลปินและผู้จัดงานยังคงเป็นที่ถกเถียง เนื่องจากมาตรการส่วนใหญ่มักเน้นไปที่การเปลี่ยนพฤติกรรมของแฟนคลับ เช่น การเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดขยะพลาสติกผ่านการใช้ขวดน้ำแบบรีฟิล หรือการสนับสนุนอาหารจากพืช มากกว่าการลดพลังงานที่ใช้ในเวทีการแสดงเอง

ในด้านของ “อุตสาหกรรมวิชวลเอฟเฟกต์” (VFX) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ แม้ว่าจะไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดเกี่ยวกับปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาโดยตรง แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมนี้ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่ต้องการพลังงานสูงสำหรับการเรนเดอร์ภาพกราฟิกและเอฟเฟกต์พิเศษ ซึ่งทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการปล่อยคาร์บอนจำนวนมากเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม บริษัทบางแห่งได้พยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือเปลี่ยนไปใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพื่อลดการใช้พลังงาน และยังมีการย้ายไปใช้เทคโนโลยีคลาวด์และระบบประมวลผลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ความพยายามในการลดผลกระทบเหล่านี้ผ่านมาตรการที่ยั่งยืน vfxvoice.com ได้ยกตัวอย่าง Netflix ซึ่งตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 ขณะที่ Amazon Studios, HBO Green และ Sony Pictures ก็เริ่มให้ความสำคัญกับการจำกัดขยะ ใช้พลังงานสะอาด และปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอนที่ปล่อยออกมานอกจากนี้ ยังมีองค์กรอย่าง Environmental Media Association และ Green Screen ที่ผลักดันให้มีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โทรทัศน์ และโฆษณา

เบื้องหลังวงการบันเทิงสุดอลัง กับผลกระทบต่อโลก  Creative Economy

ภาพยนตร์บางเรื่องเริ่มนำแนวคิดการคำนวณและชดเชยคาร์บอนมาใช้ Finshots.in ได้ยกตัวอย่างภาพยนตร์อินเดียเรื่อง "Aisa Yeh Jahaan" ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของประเทศที่อ้างว่าเป็น Carbon-neutral Film หมายถึงกระบวนการถ่ายทำและการผลิตที่มีการคำนวณปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาอย่างละเอียด และดำเนินมาตรการเพื่อลดหรือชดเชยปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาให้เท่ากับศูนย์ เช่น การปลูกต้นไม้หรือสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาด ทีมงานได้คำนวณการปล่อยคาร์บอนจากการถ่ายทำและปลูกต้นไม้ทดแทนตามปริมาณที่ปล่อยออกมา เพื่อให้แน่ใจว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมถูกชดเชยอย่างสมดุล

อุตสาหกรรมบันเทิงยังขาดมาตรฐานกลางในการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของการผลิต ซึ่งเสี่ยงต่อการโฆษณาชวนเชื่อหรือ Greenwashing เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีมาตรฐานตรวจสอบจากบุคคลที่สาม รวมถึงแนวคิดการมอบรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมในเวทีระดับโลก เพื่อผลักดันให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง