McKinsey ชี้ ไทยควรปรับโครงสร้างสู่ 6 อุตฯ ใหม่ รับมือเศรษฐกิจอนาคต

McKinsey แนะไทยปรับสู่ 6 อุตสาหกรรมอนาคต หลังพบบริษัทอาเซียนถือส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมใหม่น้อยกว่า 1% หวังคว้าโอกาสในตลาดมูลค่า 7-11 ล้านล้านดอลลาร์
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกซึ่งขับเคลื่อนโดยการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีจำนวนมากส่งผลให้อุตสาหกรรมแบบเดิมที่เคยเป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจหลายประเทศ "เสื่อมสภาพ" ลงไป
คริส แบรดลีย์ หุ้นส่วนอาวุโส McKinsey & Company และผู้อำนวยการ McKinsey Global Institute (MGI) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน "The World's Next Opportunity and Beyond" ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี หรือ MFC วันที่ 14 มี.ค.68 ว่า ประเทศไทย และอาเซียนต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรมใหม่ หรือ "Arenas of the Future" ในงานฉลองครบรอบ 50 ปีของ MFC
"การเติบโตจะไม่มาจากการพัฒนาเมือง จากนายทุน จากการอุตสาหกรรมแบบเดิม และจากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอีกต่อไป ประเทศไทยจะต้องสร้างจุดแข็งใหม่เพื่อเอาชนะปัญหาเชิงโครงสร้างที่กำลังเผชิญอยู่หนึ่งในนั้นคือ สังคมสูงวัย" แบรดลีย์ กล่าว
แบรดลีย์ อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ธุรกิจโลก โดยชี้ให้เห็นว่าในปี 2005 บริษัทชั้นนำระดับโลก 10 อันดับแรกประกอบด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมดั้งเดิม แต่ในปี 2025 ภาพได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดย 9 จาก 10 บริษัทถูกแทนที่ด้วยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิมถึง 10 เท่าซึ่งโดยเฉลี่ยมีมูลค่าตลาด 2 ล้านล้านดอลลาร์
"อุตสาหกรรมใหม่เหล่านี้ที่เราเรียกว่า 'arenas of competition' ซึ่งมีกฎการแข่งขันที่แตกต่างออกไป" แบรดลีย์ กล่าว พร้อมอธิบายเสริมว่า "บริษัทใหม่เหล่านี้เติบโตเร็วกว่า มีการวิจัย และพัฒนามากกว่า มีกำไรสูงกว่า และมีขนาดใหญ่กว่ามาก"
อาเซียน-ไทย ยังพัฒนาช้า
ทั้งนี้ แบรดลีย์ชี้ให้เห็นว่า อาเซียนแทบไม่ได้มีส่วนร่วมในการปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่นี้ โดยบริษัทในอาเซียนที่อยู่ใน "arenas" เหล่านี้มีมูลค่าน้อยกว่า1% ของมูลค่ารวมทั้งหมด
ด้านงานวิจัย Growth industries and the next big arenas of competition ของซึ่งเผยแพร่ช่วงเดือนต.ค. ปี 2567 ของ McKinsey ระบุ 18 อุตสาหกรรมใหม่ที่จะกลายเป็น "arenas" สำคัญภายในปี 2040 ซึ่งรวมถึงเซมิคอนดักเตอร์, การขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล, AI, ยานยนต์ไฟฟ้า, ยานยนต์ไร้คนขับ, แบตเตอรี่, พลังงานนิวเคลียร์, เทคโนโลยีชีวภาพ และหุ่นยนต์
ส่วนหนึ่งของรายงานจาก Mckinsey ซึ่งเผยแพร่เมื่อ ต.ค. ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ เขากล่าวว่า "อุตสาหกรรมเหล่านี้จะสร้างรายได้ 29-48 ล้านล้านดอลลาร์ และกำไรหลังหักภาษี 2-6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของการเติบโตของ GDP ทั้งหมดในช่วงเวลานี้"
โอกาสของไทย และอาเซียน
สำหรับประเทศไทย และอาเซียน แบรดลีย์ เชื่อว่ามีโอกาสอยู่ใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว และอีก 7 กลุ่มที่เป็นอุตสาหกรรมใกล้เคียงซึ่งสามารถต่อยอดได้ โดยเขาแบ่งอุตสาหกรรมในอนาคตซึ่งประเทศไทยอาจสามารถเข้าไปแข่งขันได้เป็น 3 โซนคือ
- โซนที่ 1 ความสามารถในการแข่งขันได้มากที่สุดคือ อีคอมเมิร์ซ โฆษณาดิจิทัล วิดีโอเกม การก่อสร้างแบบแยกส่วน (Modular Construction) ซิมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า
- โซนที่ 2 คือ ความสามารถในการแข่งขันปานกลางคือ สตรีมมิ่งวิดีโอ การขนส่งทางอากาศ หุ่นยนต์ คลาวด์เซอร์วิส และเทคโนโลยีอวกาศ
- โซน 3 คือ ความสามารถในการแข่งขันน้อยที่สุดคือ เอไอและซอฟต์แวร์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไบโอเทค ยาสำหรับโรคอ้วน และโรคที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมนิวเคลียร์
"เพียงแค่กลุ่มที่มีศักยภาพเท่านั้น เรามีโอกาสในตลาดที่มีรายได้ 7-11 ล้านล้านดอลลาร์ และกำไรทั่วโลกถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์" แบรดลีย์ กล่าว
เขายกตัวอย่างความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นแล้วในภูมิภาค เช่น ไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโต อินโดนีเซียกำลังสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ยักษ์แห่งแรกของเอเชีย และเวียดนามกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในด้านเซมิคอนดักเตอร์
"เราทราบว่าเราต้องปรับเปลี่ยน เรามีความต้องการ เรามีจุดเริ่มต้นของอุปทาน และหากมีบางสิ่งพิเศษเกิดขึ้น เราจะสามารถมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต" แบรดลีย์กล่าวทิ้งท้าย พร้อมสรุปว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจอนาคตคือ การสร้างอนาคต" และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการคิดอย่างกล้าหาญเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศไทยในอีก 50 ปีข้างหน้า
อ้างอิง: Mckinsey
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์