ประชุมเฟดกับความคาดหวังของตลาด - ความท้าทายของ 'พาวเวลล์' ในยุคทรัมป์

"พาวเวลล์" เผชิญโจทย์ยากในการสร้างความมั่นใจต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ต้องแสดงความพร้อมรับมือภาวะถดถอย นักลงทุนคาดหวังการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าจะลดเพียง 2 ครั้ง ท่ามกลางผลกระทบจากสงครามการค้าของทรัมป์ที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงและความเชื่อมั่นลดลง
ในสัปดาห์นี้ เจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเผชิญกับบททดสอบทางการสื่อสารที่ซับซ้อน โดยต้องสร้างสมดุลระหว่างการสร้างความมั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถูกท้าทาย กับการแสดงความพร้อมที่จะปรับนโยบายการเงินหากสถานการณ์แย่ลง
สภาพตลาดที่ผันผวนและแนวโน้มเศรษฐกิจ
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินสหรัฐได้ส่งสัญญาณถึงความกังวลอย่างชัดเจน ดัชนี S&P 500 ได้ร่วงลงถึง 10% จากจุดสูงสุด ขณะที่ ดัชนีความกลัว (VIX) พุ่งสูงขึ้นถึงระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่เดือนส.ค. นักลงทุนตอบสนองต่อนโยบายการค้าเชิงรุกของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะการขู่เรื่องภาษีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนในภาคธุรกิจและการลงทุน
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) อายุ 2 ปีซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของความคาดหวังด้านนโยบายการเงิน ได้ลดลงเกือบ 0.6% จากจุดสูงสุดในเดือนม.ค. มาอยู่ที่ 3.83% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดกำลังคาดการณ์ว่าเฟดจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ
ความคาดหวังของตลาดต่อการลดดอกเบี้ย
ข้อมูลจากการรวบรวมของบลูมเบิร์ก เผยว่า ตลาดการเงินกำลังคาดการณ์ถึงการลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีนี้ โดยมีโอกาสสูงว่าจะเริ่มในเดือนมิ.ย. ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของเฟดเอง หากเป็นเช่นนั้น พาวเวลล์จะต้องชี้แจงอย่างชัดเจนถึง “ความเต็มใจ” ที่จะปรับนโยบายหากตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอลง
บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า ความแตกต่างระหว่างความคาดหวังของตลาดและแนวทางที่เฟดอาจเลือกเป็นหนึ่งในความตึงเครียดหลักที่พาวเวลล์ต้องจัดการในการประชุมครั้งนี้
การผสมผสานของเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ปัญหาสำคัญที่เฟดกำลังเผชิญคือความท้าทายจากสองทิศทาง:
- เงินเฟ้อที่ยังไม่อยู่ในระดับเป้าหมาย: แม้ว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงในเดือนก.พ. แต่องค์ประกอบที่ส่งผลต่อดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่เฟดชื่นชอบ ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ความคาดหวังเงินเฟ้อระยะยาวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกันสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าสามทศวรรษ
- สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ: ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์ กำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดและอาจส่งผลต่อการลงทุนและการจ้างงานในระยะยาว
แมทธิว ลุซเซตติ นักเศรษฐศาสตร์จาก ดอยช์แบงก์ เน้นย้ำว่า เฟดอาจไม่สามารถดำเนินการใดๆ จนกว่าจะเห็นสัญญาณความอ่อนแอที่ชัดเจนในตลาดแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานที่ลดลง อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น หรือการเลิกจ้างที่เพิ่มขึ้น ทำให้เฟดอยู่ในสถานะ "รอดูสถานการณ์" อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในปีนี้
ความซับซ้อนจากนโยบายของทรัมป์
ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นคือ คำกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังอยู่ใน "ช่วงเปลี่ยนผ่าน" และความเห็นของรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ที่ว่าตลาดจำเป็นต้อง "ล้างพิษ" หรือ Detox ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยบรรเทาลง
ในขณะเดียวกัน นโยบายอื่นๆ ของรัฐบาลทรัมป์ เช่น การลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบ อาจกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่ม “แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ” ในระยะกลาง พาวเวลล์ได้เน้นย้ำว่า เฟดกำลังรอดู "ผลกระทบสุทธิ" ของนโยบายเหล่านี้ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงิน
การคาดการณ์การประชุมเฟด
ในการประชุมวันที่ 18-19 มีนาคมนี้ ตลาดการเงินในภาพรวมคาดว่าเฟดจะ:
- คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบัน
- เปิดเผยการคาดการณ์เศรษฐกิจชุดใหม่ ซึ่งอาจปรับลดการคาดการณ์การเติบโตเล็กน้อยและปรับเพิ่มมุมมองต่อเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมอาหารและพลังงาน)
- พิจารณาการหยุดหรือชะลอโครงการลดขนาดงบดุล (QT) ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ท้ายที่สุด พาวเวลล์เผชิญกับความท้าทายในการสื่อสารอย่างระมัดระวัง เขาต้องรักษาสมดุลระหว่างการยืนยันว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเฟดพร้อมที่จะดำเนินการหากมีความจำเป็น เขาต้องจัดการกับความแตกต่างระหว่างความคาดหวังของตลาดและนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับเส้นทางของอัตราดอกเบี้ย และต้องพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ ทั้งในแง่ของการค้าและการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
ตามที่พาวเวลล์เคยกล่าวไว้ว่า "แม้จะมีระดับความไม่แน่นอนที่สูง เศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในสถานะที่ดี" แต่ความท้าทายในการรักษาสถานะที่ดีนั้นอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในบริบทของนโยบายการค้าที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเงินเฟ้อที่ยังไม่อยู่ในระดับเป้าหมาย
อ้างอิง: Bloomberg