OECD หั่นคาดการณ์จีดีพีโลก-สหรัฐ พิษสงครามการค้ากระทบหนัก

OECD ปรับลดคาดการณ์จีดีพีโลก-จีดีพีสหรัฐ พิษสงครามการค้ากระทบหนัก ส่อฉุดจีดีพีสหรัฐร่วงแรงเหลือ 2.2% ปีนี้ ส่วนปีหน้าเผาจริงจาก 2.1% จะเหลือแค่ 1.6%
ในวันนี้ (17 มี.ค.) องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ประกาศลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกเหลือ 3.1% ในปีนี้ และ 3.0% ในปีหน้า จากคาดการณ์ฉบับเดิมเมื่อเดือนธ.ค. ซึ่งให้ไว้ที่ 3.3% ทั้งสองปี โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลกมีแนวโน้มจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
OECD ยังปรับลดคาดการณ์จีดีพีของสหรัฐในปีนี้ลงเหลือ 2.2% จากเดิมซึ่งให้ไว้ที่ 2.4% เมื่อปลายปีที่แล้ว และยังหั่นคาดการณ์ในปี 2569 ลงอย่างหนักจากเดิมที่ 2.1% เหลือเพียง 1.6% เท่านั้น
“คาดว่าการเติบโตของจีดีพีทั่วโลกจะชะลอตัวลงจาก 3.2% ในปีที่แล้ว เป็น 3.1% ในปีนี้ และ 3.0% ในปีหน้า โดยอุปสรรคการค้าที่สูงขึ้นในเขตเศรษฐกิจ G20 หลายประเทศ รวมถึงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายที่เพิ่มมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการใช้จ่ายของครัวเรือน” OECD ระบุในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจฉบับล่าสุดในวันจันทร์
การคาดการณ์ล่าสุดนั้น อิงตามสมมติฐานที่ว่าการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างแคนาดาและสหรัฐ กับระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอีก 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้าเกือบทั้งหมดตั้งแต่เดือนเม.ย. แต่หากอัตราภาษีถูกปรับลดลงมา หรือมีการจำกัดสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีน้อยลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะแข็งแกร่งขึ้นและอัตราเงินเฟ้อจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
"แต่การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้" รายงานระบุ
สำหรับ "แคนาดาและเม็กซิโก" ซึ่งต่างก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐนั้น พบว่าแนวโน้มการเติบโตของสองประเทศนี้ "จะลดลงอย่างมาก" คาดว่าเศรษฐกิจของแคนาดาจะเติบโตได้เพียง 0.7% ในปีนี้ ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2% และคาดว่าเศรษฐกิจของเม็กซิโกจะหดตัวลง 1.3% เมื่อเทียบกับการขยายตัวที่ 1.2% ตามที่คาดการณ์ครั้งก่อน
OECD ยังได้ปรับขึ้นคาดการณ์เงินเฟ้อ โดยขึ้นในส่วนของสหรัฐจากประมาณการเดิมในเดือนธ.ค. ที่ 2.1% ขึ้นไปเป็น 2.8% และในส่วนของกลุ่มประเทศ G20 จะเพิ่มขึ้นจาก 3.5% ไปเป็น 3.8% โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ปี 2568 ในหลายประเทศจะพุ่งสูงขึ้นกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง ซึ่งรวมถึงสหรัฐด้วย