สัมพันธ์สหรัฐ-จีน ‘ดีหรือร้าย’ ไทยกระทบหนักทั้งสองทาง

สงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในรอบนี้ ชัดเจนว่าสหรัฐเล่นงานจีนรุนแรงกว่าเดิม นี่คือฉากทัศน์ที่ทั้งโลกรับรู้
แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากสหรัฐได้รับผลกระทบหนักจนต้องหันมาจับมือกับจีนในที่สุด แล้วไทยจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงาน Executive Insight: Shifting Geopolitics: Navigating Risks and Opportunities จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (ทีเอ็มเอ) ว่า ทุกวันนี้เราเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่เรียบร้อยแล้ว ทรัมป์ประกาศเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่ผ่านทางทรูธโซเชียลและทวิตเตอร์ โดยในปี 2017 สหรัฐมองว่า จีนเป็นภัยคุกคามสูงสุดต่อยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว ในปี 2018 สหรัฐจึงพลิกท่าทีจากที่เคยดีกับจีนเปลี่ยนมาเป็นสงครามการค้า ท่าทีนี้ไม่เคยเปลี่ยนแม้เข้าสู่สมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่อัพเกรดยุทธศาสตร์ชาติและยังมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่ง
ขณะเดียวกันจีนสยายปีกพัฒนาในสิ่งที่ตนเข้มแข็งที่สุด เช่น พัฒนาโครงการสายแถบและเส้นทาง (บีอาร์ไอ) เป็น Global Development Initiative เชื่อมทั้งโลกไม่ใช่แค่เอเชีียกับยุโรป ในมิติความมั่นคงระหว่างประเทศจีนมีเวที Global Security Initiative แสดงบทบาทกาวใจเอาซาอุดีอาระเบียกับอิหร่านมาจับมือกัน ด้านซอฟต์พาวเวอร์พัฒนาสถาบันขงจื่อเป็น Global Civilization Initiative ด้านอุตสาหกรรมภายในประเทศเป้าหมาย Made in China 2025 สำเร็จลงในปีนี้และกำลังเดินหน้าสู่ China Standard 2035
- สงครามการค้า 3.0
นับถึงขณะนี้สงครามการค้ามีสามเวอร์ชัน ตั้งแต่ทรัมป์ 1.0 มาถึงไบเดน และทรัมป์ 2.0 ปิติมองสงครามการค้าในปัจจุบันเป็นสองฉากทัศน์
- ฉากทัศน์ที่ 1 สหรัฐเล่นงานจีน
ปิติมองฉากทัศน์นี้ผ่านคนที่ทรัมป์เลือกมาทำงาน เริ่มตั้งแต่ โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ในสมัยทรัมป์ 1.0 ทรัมป์ชอบคนๆ นี้ เห็นได้จาก ทรัมป์ไล่คนทำงานออกบ่อยมากแต่ไลท์ไฮเซอร์เป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งมาตลอดสมัยทรัมป์ 1.0 แนวทางของไลท์ไฮเซอร์คือ เปลี่ยนระบบ ไม่เอาโลกาภิวัฒน์, จัดการจีน และช่วยให้คนงานอเมริกันมีงานทำผ่านทางเครื่องมือภาษี สหรัฐไม่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่การที่ประเทศอื่นเก็บ VAT ทำให้สหรัฐเสียเปรียบ จึงต้องเก็บภาษีกีดกันทางการค้าในอัตราของ VAT ประเทศอื่น วิธีนี้เป็นการนำภาษี VAT ซึ่งเป็นเรื่องภายในประเทศมาเกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าซึ่งเป็นเรื่องระหว่างประเทศ
ในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ไลท์ไฮเซอร์ไม่ได้กลับเข้ามา แต่ยูเอสทีอาร์คนปัจจุบันคือ เจมีสัน กรีเออร์ ลูกศิษย์ของไลท์ไฮเซอร์ เชื่อว่าได้รับการถ่ายทอดงานจากไลท์ไฮเซอร์มาอย่างเต็มที่
ส่วนสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เชื่อมั่นอย่างยิ่งกว่าการกลับมาเก็บภาษีจะทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่ได้
คนที่น่าสนใจที่สุดคือสตีเฟน มิราน ประธาน Council of Economic Adviser ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มิรานเชื่อในเรื่อง Optimal tariff rate ว่า สหรัฐเป็นผู้ซื้อที่มีอำนาจผูกขาดตลาด สหรัฐเก็บภาษีแต่คนอเมริกันจะไม่ต้องจ่ายภาษี เนื่องจากผู้ซื้อมีอำนาจมากกว่าผู้ขาย สหรัฐจะไปกดดันให้ผู้ขายยอมแบกรับภาษีแทน ขณะที่เควิน แฮสเซ็ตต์ ทำหน้าที่ดูแลนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ
ด้วยทัศนคติของคนทำงานเหล่านี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ภาษีสหรัฐสูงขึ้น 10-20% สินค้าไทยน่าจะอยู่ในรายการที่จะประกาศในเดือน เม.ย. ซึ่งไทยมีทางเลือกสองทางคือ ยอมกลืนเลือดแบกรับภาษี หรือยอมขายแพงในตลาดสหรัฐ แต่จะเลือกแบบไหนไทยก็เจ็บ กล่าวคือ สหรัฐเล่นงานจีนแน่ เมื่อจีนโดนขึ้นภาษีย่อมส่งออกไปสหรัฐได้น้อยลง สินค้าจีนจะทะลักเข้ามาไทย เท่ากับว่าการแข่งขันในตลาดภายในประเทศรุนแรงขึ้นด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ สินค้าจีนไม่ได้ขายแค่ตลาดสหรัฐกับไทย แต่ยังขายในประเทศอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งไทยก็ต้องไปแข่งกับสินค้าราคาถูกจากจีนในประเทศอื่นๆ ด้วย
ในอดีตจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อใช้ไทยเป็นสปริงบอร์ดเข้าสหรัฐ ตอนนี้ทำไม่ได้อีกแล้ว หมายความว่านอกจากการค้าแล้วการลงทุนของจีนในไทยยังหายไปด้วย ถ้าไม่หายการลงทุนก็ไม่ขยับ สหรัฐเองก็ไม่มาลงทุนในไทยเช่นกัน
“ดังนั้นถ้าจะสรุปผลของสงครามการค้า ไม่ได้หมายความแค่เราขายของได้น้อยลง มันมีผลมากกว่านั้นเยอะ” ปิติสรุปฉากทัศน์แรก
- ฉากทัศน์ที่ 2 สหรัฐจับมือจีน
เป็นฉากทัศน์ที่มองอย่างสุดโต่งไปในอีกด้านหนึ่ง กล่าวคือ ภายใน 3-6 เดือนชาวอเมริกันต้องซื้อสินค้าราคาแพงในที่สุดจากสงครามการค้า เมื่อนั้นสหรัฐจะเจ็บหนักจนอาจจะจับมือกับจีนก็ได้ สิ่งที่รัฐบาลวอชิงตันจะใช้ต่อรองกับจีนได้แก่ “ไต้หวัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนต้องการมากที่สุด เห็นได้จากในรัฐธรรมนูญปี 1982 ที่จีนใช้มาจนถึงทุกวันนี้ อารัมภบทระบุ “ไต้หวันคือส่วนหนึ่งของดินแดนประเทศจีนอันศักดิ์สิทธิ์” เป็นหน้าที่ของคนจีนและคนจีนในไต้หวันที่จะรวมชาติ
วิธีการที่สหรัฐจะให้จีนได้คือ แก้ไข Taiwan Relation Act ระบุว่า หากมีอะไรเกิดขึ้นกับไต้หวันสหรัฐจะไม่เอาทหารไปช่วย กลับมายอมรับหลักการจีนเดียวแบบเคลียร์ๆ เหมือนที่สหรัฐเคยยอมรับระหว่างปี 1972-1975
ถ้าสหรัฐเสนอเงื่อนไขยกเลิก Taiwan Relation Act แลกกับการที่ จีนยอมลดการได้เปรียบดุลการค้า ซื้อสินค้าสหรัฐให้มากขึ้น สินค้าจีนในสหรัฐขายในราคาถูกที่สุด ซึ่งจีนทำให้ได้เพราะ 500 บริษัทใหญ่สุดของจีนตั้งคณะกรรมการบริหารบริษัทเป็นสาขาพรรคคอมมิวนิสต์ ย่อมสามารถสั่งภาคเอกชนให้ซื้อสินค้าสหรัฐเพิ่มได้ เข้าไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้น เปิดเผยความลับทางเทคโนโลยีเพื่อสหรัฐจะได้ไม่ต้องหวาดระแวง
สิ่งที่สหรัฐได้กลับมาคือ การลงทุนจากจีน การจ้างงาน สินค้าราคาถูก ไม่ต้องหวาดระแวงเทคโนโลยีจีน สิ่งที่สหรัฐเสียคือไต้หวันแต่สหรัฐก็ไม่แคร์
ปิติกล่าวว่าฉากทัศน์นี้น่ากลัวที่สุดสำหรับไทย "เพราะเขาดีกับจีนแต่ไม่ได้ดีกับเรา สินค้าไทยเข้าสหรัฐต้องเจอกำแพงภาษีเหมือนเดิม
สินค้าไทยเข้าไปขายในจีนได้ลดลงเพราะจีนต้องนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้นเพื่อแก้ไขการได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ เงินลงทุนจีนในประเทศไทยหายไปเพราะจีนต้องไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้น
เมื่อจีนกับสหรัฐจับมือกัน เท่ากับว่าส่วนแบ่งตลาดในจีนจะมีสหรัฐมากขึ้น และส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐจะมีจีนมากขึ้น ไทยเสียส่วนแบ่งทั้งสองตลาด
โลกจะกลายเป็นเขตอิทธิพล ตั้งแต่กรีนแลนด์ ขั้วโลกเหนือ ลงไปถึงคลองปานามา ชิลี อาร์เจนตินาเป็นเขตอิทธิพลสหรัฐ ยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางเป็นเขตอิทธิพลรัสเซีย ส่วนเรดาร์ของจีนจะมาอยู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไทยจะไม่สามารถใช้สหรัฐมาถ่วงดุลจีนได้อีก
ประเทศในอาเซียนที่จะได้รับผลกระทบมากคือเวียดนามกับไทย เวียดนามใช้วิธีปรับจุดแข็งภายในของตนเอง ปฏิรูปโครงสร้าง ปราบทุจริตเพื่อลดต้นทุนของนักลงทุนต่างชาติ ดึงรัสเซียเข้ามาถ่วงดุลจีนและสหรัฐ แต่คำถามคือไทยได้ทำแบบที่เวียดนามทำหรือไม่