‘เอเชีย’ เผชิญอันตรายแผ่นดินไหวรุนแรง : ปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น

ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยามหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ชี้ เอเชียเผชิญภาวะร้อนจัด แห้งแล้ง และรุดสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเมืองรวดเร็ว เป็นตัวเร่งไปสู่แผ่นดินไหว
KEY
POINTS
- ในปัจจุบัน พื้นที่ที่เก
ริชาร์ด วอล์กเกอร์ ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยาจากภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มวิจัยธรณีวิทยาและแผ่นดินไหว และเป็นหัวหน้าศูนย์สังเกตการณ์และจำลองแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ และธรณีวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร ได้เขียนบทความเผยแพร่ทางเว็บไซต์ Royal Society for Asia Affairs โดยมีเนื้อหาสำคัญตอนหนึ่งว่า ศูนย์กลางที่พักอยู่อาศัยของประชาชนหลายแห่งในเอเชีย โดยเฉพาะพื้นที่ในภูมิภาคที่เผชิญสภาพอากาศร้อนจัด และแห้งแล้ง มักก่อให้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุด ซึ่งปัจจัยหนึ่งมาจากประชาชนต้องการน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค
แหล่งน้ำประปาที่ใช้ในชีวิตประจำวันตลอดทั้งปีบางแห่งมาจากแหล่งน้ำจืด แหล่งน้ำบาดาลใกล้ชุมชน โดยใช้ระบบคลองส่งน้ำ และแม่น้ำ
แหล่งน้ำเหล่านี้ มักมีอยู่และเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางธรณีวิทยาที่ทำให้เกิดเป็นเส้นทางน้ำใหม่ หรือสร้างสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำใต้ดินที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ส่งผลให้ระดับน้ำใต้ดินสูงขึ้น
สิ่งนี้อาจสร้างความผิดพลาดทางธรณีวิทยา เนื่องจากการสูบน้ำมาใช้จนเป็นส่วนหนึ่งก่อให้เกิดแผ่นดินไหว แม้ช่วงเวลาการเกิดเหตุการณ์รุนแรงหนึ่งๆ ซึ่งมีขึ้นในรอบร้อยปี หรือทั่วไปอาจเกิดในรอบพันปี
เมื่อเกิดความเสื่อมหรือแตกร้าวของชั้นใต้ดิน การสั่นสะเทือนอาจส่งผลร้ายแรงต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวและใกล้เคียง สำหรับผู้รอดชีวิตอาจไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งเป็นวัฏจักรดำเนินมานานหลายพันปี
โดยศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยามหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด มองว่า ผลกระทบที่สำคัญในปัจจุบันนั่นคือ พื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหวเริ่มกระจายขนาดใหญ่ขึ้น วัดค่าด้วยการใช้เครื่องวัดแผ่นดินไหวในทศวรรษที่แล้ว เพื่อให้ข้อมูลเพียงบางส่วน และแม้แต่เมืองเก่าแก่ ตลอดจนแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมก็ยังยังคงมีความเสี่ยง
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมืองบางแห่งมีการขยายตัวเกิดแผ่นดินไหวมากขึ้น ตัวอย่างหนึ่งคือ เตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน ซึ่งมีประชากรเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มีบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเตหะราน และภูมิทัศน์ของเมืองในปัจจุบันยังคงมีร่องรอยที่บอกเล่าถึงการมีอยู่ของรอยเลื่อนที่ยังคุกรุ่นอยู่ภายในเมือง และตามไหล่เขาอัลบอร์ซที่อยู่ใกล้เคียง
สิ่งที่เกิดคล้ายกันนี้ สามารถพูดได้กับเมืองต่างๆ มากมายจากตะวันออกไปตะวันตกทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ยกตัวอย่าง เมืองซีอาน ประเทศจีน ประสบกับแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในปี 1556 โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 800,000 ราย หรือเมืองอัลมาตี เมืองที่ใหญ่ที่สุดของคาซัคสถาน ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหว 3 ครั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20
กรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ก็ได้รับความเสียหายหนักจากแผ่นดินไหวในปี 1505 ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก อาจทำให้เกิดการทำลายล้างมนุษญ์จากการสูญเสียชีวิตจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างเหตุการณ์ในเมืองต่างๆ อีกมากมายที่ตกอยู่ในความเสี่ยง
ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยามหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดชี้ว่า "ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วางท่อขนส่งพลังงาน ไปจนถึงเครือข่ายถนนและรางรถไฟ ท่าเรือและระบบขนส่งต่างๆ ไปจนถึงโครงการพลังงานน้ำ และพลังงานนิวเคลียร์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว"
ในภูมิภาคเอเชีย พื้นที่ที่มีการพัฒนาที่เกิดขึ้นรวดเร็วใมจะความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวสูง ซึ่งศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยามหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดแนะนำว่า การทำแผนที่และระบุอันตรายเหล่านี้ในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า การออกแบบจะมีความยืดหยุ่น และเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจว่า แผ่นดินไหวอาจเกิดขึ้นที่ใดก็ได้ในอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีตรวจวัดแผ่นดินไหวและการติดตามด้วยดาวเทียมสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก
ในความพยายามเหล่านี้ เรายังคงเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการเกิดแผ่นดินไหวมากมายจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในปัจจุบัน และการกระจายตัวของแผ่นดินไหว ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ประเมินความน่าจะเป็นได้ว่าแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ จะเกิดขึ้นบ่อยเพียงใด
วิธีการเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้รายละเอียดที่จำเป็นในการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเมืองหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจากโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญได้
ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รายละเอียดดังกล่าว เราต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อระบุและทำความเข้าใจแหล่งที่มาของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งอาจปรากฏในซากโบราณสถาน หรือทิ้งร่องรอยไว้ในภูมิประเทศ ซึ่งสามารถอ่านได้โดยใช้การสำรวจระยะไกลผ่านดาวเทียม และเปิดเผยผ่านการสำรวจภาคสนาม
ปัญหาที่อันตรายจากแผ่นดินไหว อาจดูเหมือนเกินกว่าจะแก้ไขได้ เมื่อพิจารณาถึงปริมาณการเพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้เรามีโอกาสจะเพิ่มความสามารถในการจัดการแผ่นดินไหว ในขณะที่มีเมืองต่างๆ สร้างอาคารหรือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ โดยที่สิ่งที่มีอยู่แล้วก็สามารถปรับให้เข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม เราจะคว้าโอกาสเรียนรู้นี้ไว้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เวลาเท่าใดในการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอันตรายอยู่ที่ใด
ที่มา : RSAA.UK