อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกระส่ำ รถแพงขึ้น - แรงงานเสี่ยงตกงาน

ภาษีรถยนต์ 25% ฉุดอุตสาหกรรมยานยนต์โลกระส่ำ จ่อปรับขึ้นราคาผลักภาระผู้บริโภค - แรงงานเสี่ยงตกงานเพิ่ม คาดการผลิตในอเมริกาเหนือจะชะงักภายในกลางเดือนเม.ย.
การประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กำลังทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์สั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกเตือนว่าอาจจะต้อง "ปรับขึ้นราคา" รถยนต์ในเร็วๆ นี้ ส่วนดีลเลอร์ตัวแทนจำหน่ายก็กังวลว่าจะมีการ "เลิกจ้าง" ในประเทศผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่
ภาษีรถยนต์ถือเป็นออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยก่อนการจัดเก็บภาษีรอบใหม่ที่ครอบคลุมขึ้น หรือภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ซึ่งจะมีการประกาศในวันที่ 2 เม.ย.68 แต่ลำพังแค่ภาษีรถยนต์เพียงอย่างเดียวก็ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากพอแล้ว ทั้งอาจทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของรถยนต์ในสหรัฐแพงขึ้นอีกหลายพันดอลลาร์ และทำให้ความต้องการรถยนต์ลดลงไปอีกในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมนี้กำลังดิ้นรนรับมือการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่ทั่วโลกร่วงลงทันทีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ยกเว้นเพียงค่าย "เทสลา อิงค์"
หุ้นของเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ลดลงเกือบ 7% ในช่วงบ่ายวันพฤหัสฯ ขณะที่หุ้นของฟอร์ด มอเตอร์ และหุ้นของสเตลแลนทิสที่จดทะเบียนในสหรัฐ ลดลงประมาณ 3% สวนทางกับหุ้นของเทสลาที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5% เนื่องจากบริษัทของอีลอน มัสก์ มีความเสี่ยงต่อภาษีรถยนต์น้อยกว่าคู่แข่ง
“อุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งหมด ห่วงโซ่อุปทาน และบริษัททั่วโลกรวมถึงลูกค้าจะเป็นผู้ที่ต้องแบกรับผลกระทบเชิงลบ” บริษัทโฟล์คสวาเกน ของเยอรมนี ระบุในแถลงการณ์
ทั้งนี้ สหรัฐนับเป็นผู้นำเข้ารถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนี รวมถึงรถยนต์จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา และเม็กซิโก จากข้อมูลของบริษัทวิจัยโกลบอลดาตา พบว่ารถยนต์เกือบครึ่งหนึ่งที่ขายในสหรัฐเมื่อปี 2567 เป็นรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ
นักวิเคราะห์จากธนาคารบาเคลย์ส ระบุในบันทึกว่า "ไม่มี 'ผู้ชนะ' ในภาพรวม มีเพียงผู้ชนะในเชิงเปรียบเทียบกันเท่านั้น โดยอุตสาหกรรมรถยนต์จะต้องแบกรับต้นทุนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้น" พร้อมเรียกภาษีของทรัมป์ว่าเป็น "ผลลัพธ์ที่รุนแรงยิ่งกว่าที่คาดการณ์กันไว้"
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่สนับสนุนความพยายามของทรัมป์ รวมถึงสหภาพแรงงานยานยนต์แห่งสหรัฐ (UAW) ตอกย้ำว่าสหรัฐควรมุ่งเน้นเรื่องการเพิ่มการผลิตในประเทศ แม้ว่ากระบวนการย้ายโรงงานอาจใช้เวลานานหลายปี ซึ่งระหว่างนั้นต้นทุนจะเพิ่มขึ้นและการผลิตอาจลดลงก็ตาม
ในขณะที่สภานโยบายยานยนต์อเมริกัน (AAPC) ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ผลิตรถยนต์สามค่ายใหญ่จากดีทรอยต์ หรือ บิ๊กทรี ระบุในทิศทางเดียวกันว่า "ผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีทรัมป์ในการเพิ่มการผลิตและการจ้างงานของยานยนต์ในสหรัฐ และจะทำงานร่วมกับรัฐบาลต่อไปในนโยบายที่ยั่งยืนเพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกัน" แต่ AAPC ก็ย้ำเช่นกันว่า "เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องนำภาษีศุลกากรไปใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นราคาต่อผู้บริโภคด้วย"
ข้อมูลจากบริษัท ค็อกซ์ ออโตโมทีฟ ระบุว่า อาจต้องใช้เวลาสักระยะก่อนที่ตัวแทนจำหน่าย และผู้บริโภคจะประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนสินค้าอย่างหนัก โดยบร รดาดีลเลอร์มีรถยนต์ในสต๊อกโดยเฉลี่ย 89 วัน ในช่วงต้นเดือนมี.ค. แต่ผู้บริโภคบางส่วนอาจจะพยายามแห่ซื้อกันก่อนที่ราคาจะเริ่มปรับตัวแพงขึ้นหลังจากนี้
อุตฯ รถยนต์โลกรับความปั่นป่วน
อุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรปเรียกร้องให้มีข้อตกลงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์ โดยเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาวันเดียว บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ในยุโรปได้แก่ โฟลค์สวาเกน, บีเอ็มดับเบิลยู, เมอร์เซเดส เบนซ์, ปอร์เช และคอนติเนนทัล สูญเสียมาร์เก็ตแคปรวมกันมากถึง 5.5 พันล้านยูโร (ราว 2.01 แสนล้านบาท) เมื่อวันพฤหัสบดี ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต้องตัดสินใจว่าจะย้ายการผลิตไปยังสหรัฐเพิ่มเติม ยอมรับต้นทุนภาษีนำเข้า หรือจะผลักภาระไปให้ผู้บริโภค
ผู้ผลิตบางราย เช่น วอลโว่ คาร์, อาวดี, เมอร์เซเดส เบนซ์ และฮุนได เคยประกาศไปแล้วว่าจะย้ายการผลิตบางส่วน ในขณะที่ม้าลำพองเฟอร์รารี ซึ่งปัจจุบันผลิตรถยนต์ทั้งหมดในอิตาลีกล่าวว่า จะขึ้นราคารถยนต์สูงสุด 10% สำหรับบางรุ่น ส่วนวาเลโอ ซึ่งเป็นบริษัทซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์ในฝรั่งเศส กล่าวว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขึ้นราคา
บีแอลจี กรุ๊ป จากเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ท่าเทียบเรือขนส่งรถยนต์ที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในเมืองเบรเมอร์ฮาเฟิน กล่าวว่า กำลังวางแผนลดปริมาณการขนส่งลง 15% อันเป็นผลจากภาษีนำเข้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้กับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. และชิ้นส่วนรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.
แคนาดา-เม็กซิโก ถูกกระทบหนัก
ผู้ผลิตรถยนต์ในภาคพื้นอเมริกาเหนือได้รับสถานะการค้าเสรีมาตั้งแต่ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ในปี 1994 ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ที่บูรณาการสูงระหว่างสหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโก แต่ข้อตกลงสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ปี 2020 ที่แก้ไขใหม่ของทรัมป์ได้กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อกระตุ้นเรื่องการผลิตที่ใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น
ค็อกซ์ ออโตโมทีฟ ระบุว่า ภาษีศุลกากรจะมีผลกระทบต่อการผลิต "เกือบจะในทันที" โดยคาดว่าการผลิตยานยนต์ในภาคพื้นอเมริกาเหนือ "เกือบทั้งหมด" จะหยุดชะงักภายในกลางเดือนเม.ย. โดยอาจลดการผลิตลงประมาณ 2 หมื่นคันต่อวัน หรือประมาณ 30% ของการผลิต
ทำเนียบขาวกล่าวว่า ภาษีศุลกากรของทรัมป์จะ "ปกป้องและเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคส่วนยานยนต์ของสหรัฐ" มากกว่าข้อตกลงการค้าครั้งก่อนๆ โดยผู้นำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในภูมิภาคอเมริกาเหนือจะมีโอกาสได้รับการรับรองสัดส่วนวัสดุที่ผลิตจากในสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสำหรับส่วนประกอบของรถยนต์ดังกล่าว
ซีอีโอบางรายแสดงความไม่เต็มใจที่จะตัดสินใจทางธุรกิจในระยะยาวโดยอิงจากนโยบายระยะสั้น และคาดหวังว่าการเทขายในตลาดหุ้นอาจจะช่วยทำให้ทรัมป์เปลี่ยนใจได้
"เราทราบดีว่าประธานาธิบดีมองว่าดัชนีดาวโจนส์เป็นเครื่องวัดความสำเร็จของเขา เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่านโยบายที่คล้ายเลื่อยยนต์ดังกล่าวจะคงอยู่ต่อไปได้นานเพียงใด หากนโยบายเหล่านี้ทำให้ตลาดตกต่ำลง ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ชั่วคราว" นักวิเคราะห์จากเบิร์นสไตน์ รีเสิร์ช กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์