ทรัมป์ขีดเส้นตาย 2 เม.ย.นี้ จะเกิดอะไรขึ้นบ้างใน ’วันปลดแอก’

ทรัมป์ขีดเส้นตายภาษี 2 เม.ย.นี้ ชี้ชะตา ‘สงครามการค้า’ จะเกิดอะไรขึ้นบ้างใน ’วันปลดแอก’ เมื่อการตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่ในมือของทรัมป์แต่เพียงผู้เดียว
KEY
POINTS
- ทรัมป์เคยกล่าวถึงการพิจารณาเก็บภาษีจากหลายประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป เกาหลีใต้ บราซิล และอินเดีย
- แผนการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ของ 'ทรัมป์' ยังไม่ชัดเจนนัก แต่อาจเป็นได้ 4 ร
สถานการณ์ “สงครามการค้า” ครั้งใหม่ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” กำลังร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนกำลังจับตามองวันพุธที่ 2 เม.ย.นี้ ซึ่งทรัมป์เรียกว่า "วันปลดแอก" โดยทรัมป์จะกำหนด "ภาษี ตอบโต้" (reciprocal tariff) ในอัตราที่เท่ากับภาษีที่ประเทศอื่นๆ เรียกเก็บจากสินค้าของสหรัฐ
แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าววานนี้ (31มี.ค.) ว่า ทรัมป์จะเปิดเผยแผนการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้กับประเทศคู่ค้าเกือบทั้งหมดของสหรัฐในวันพุธ แต่ย้ำว่ารายละเอียดต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดีที่จะประกาศออกมา
เส้นตาย 2 เม.ย. ชี้ชะตา ‘สงครามการค้า’
ทั่วโลกจับตาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 เมษายนนี้ ซึ่งสิ่งที่ทรัมป์จะประกาศออกมานั้นยังคงเป็น “ปริศนา” โดยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ยังไม่ชัดเจนนัก รูปแบบของภาษีอาจเป็นได้ 4 รูปแบบ และยังไม่มีการพิจารณาถึงการยกเว้นภาษีในระดับประเทศแต่อย่างใด
- การเก็บภาษีเฉพาะสินค้าแต่ละรายการ/เซ็กเตอร์ (product-by-product duties)
- การเก็บภาษีในอัตราเฉลี่ยครอบคลุมสินค้าทั้งหมดจากแต่ละประเทศ หรืออาจมีรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไป
- อัตราภาษีที่เรียกเก็บอาจถูกกำหนดโดยอ้างอิงจากภาษีที่ประเทศอื่นๆ เรียกเก็บจากสินค้าของสหรัฐซึ่งรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มและเงินอุดหนุนที่รัฐบาลของประเทศเหล่านั้นให้กับบริษัทในประเทศของตนเอง
- เก็บภาษีแบบเหมารวมทั่วโลก สูงสุด 20% (across-the-board tariffs)
ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาว ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Fox News Sunday” โดยกล่าวว่า ภาษีศุลกากรที่ว่านี้อาจสามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลสหรัฐได้มากถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ตัวเลขนี้เป็นนัยว่าอัตราภาษีเฉลี่ยที่เรียกเก็บอาจสูงถึงประมาณ 20% ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาสินค้าและการค้าโลก
ทรัมป์เคยกล่าวถึงการพิจารณาเก็บภาษีจากหลายประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป เกาหลีใต้ บราซิล และอินเดีย โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินการดังกล่าวผ่านการจัดเก็บภาษีนำเข้า
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โฆษกของทรัมป์เปิดเผยว่า ที่ปรึกษาของเขาได้นำเสนอทางเลือกและข้อเสนอต่างๆ หลายประการให้กับประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องนี้ยังคงอยู่ในมือของทรัมป์ “แต่เพียงผู้เดียว”
ภาษีเหมารวมทั่วโลก 20%
ในข้อที่ 4 นั้นหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ผลักดันให้ทีมงานของเขาให้ "แข็งกร้าว" มากขึ้นอีก โดยผู้ที่เกี่ยวข้องเปิดเผยว่าทรัมป์สนับสนุนให้พวกเขาคิดแผนที่จะใช้ภาษีในอัตราที่สูงขึ้นกับประเทศต่างๆ ในวงกว้างขึ้น และได้ย้ำถึงเรื่องนี้อีกเมื่อคืนวันอาทิตย์ โดยกล่าวว่าเขาจะกำหนดเป้าหมายไปที่ประเทศคู่ค้าของสหรัฐ “เกือบทั้งหมด” ด้วยภาษีบางประเภท
ยังไม่ชัดเจนว่าแนวทางนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บรรดาที่ปรึกษาได้พิจารณาทางเลือกที่จะ "เรียกเก็บภาษีทั่วโลกสูงถึง 20%" ซึ่งแนวทางนี้จะส่งผลกระทบต่อคู่ค้าทางการค้าของสหรัฐเกือบทั้งหมด ก่อนหน้านี้ทรัมป์และทีมเคยส่งเสริมแผนการนี้ในช่วงหาเสียงเป็นเวลาหลายเดือน ก่อนที่จะยกเลิกในเวลาต่อมาและหันไปเลือกใช้ภาษีตอบโต้แทน
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารคนหนึ่งกล่าวว่าแผนเก็บภาษีตอบโต้ยังอยู่ในการพิจารณา และเสริมว่าทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเรียกเก็บภาษีกับทุกประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าด้วย โดยเขาต้องการ "ตัวเลขที่ชัดเจน" สำหรับแต่ละประเทศ แม้ว่าจะยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็ตาม
ไม่ว่าแผนขั้นสุดท้ายจะเป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกล่าวเสริมว่าทรัมป์ต้องการให้นโยบายนั้น "ใหญ่และเรียบง่าย" ซึ่งหมายความว่าการดำเนินการขั้นสุดท้ายจะขยายวงกว้างกว่าแผนก่อนหน้านี้ ที่จะให้ความสำคัญกับการเรียกเก็บภาษีกับคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ เรียกว่าเป็นกลุ่ม 15 ประเทศที่น่ารังเกียจ (Dirty 15)
2 นโยบายภาษีทรัมป์ที่กำลังจะบังคับใช้
ทรัมป์ได้ประกาศแผนการที่จะเริ่มเก็บภาษีในอัตรา 25% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากประเทศใดก็ตามที่ซื้อน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติจากเวเนซุเอลา โดยภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 2 เม.ย.เป็นต้นไป
ภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% จะเริ่มจัดเก็บในวันที่ 3 เม.ย.นี้ และภาษีจะขยายไปยังชิ้นส่วนรถยนต์ที่บังคับใช้ในสัปดาห์ต่อๆ ไป จนถึงวันที่ 3 พ.ค.
ทำเนียบขาวคาดการณ์ว่า ภาษีใหม่เหล่านี้จะสามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลได้ถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์หลายรายได้ออกมาเตือนว่า การดำเนินนโยบายทางการค้าในลักษณะนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก และอาจนำไปสู่ราคาสินค้าที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคในที่สุด
ภาษีอะไรบ้างที่มีผลบังคับใช้แล้ว?
-
ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
ปัจจุบัน มีภาษีหลายรายการที่ถูกบังคับใช้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสหรัฐและจีน โดยตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา สหรัฐได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมดที่ 10% และต่อมาได้เพิ่มอัตราดังกล่าวเป็น 20% ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคมเป็นต้นไป
ในขณะเดียวกัน จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐหลายประเภท เช่น ภาษีถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว 15% และภาษีน้ำมันดิบจากสหรัฐ 10% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.68 นอกจากนี้ จีนยังได้กำหนดอัตราภาษีสินค้าเกษตรที่สำคัญของสหรัฐสูงถึง 15% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.เช่นกัน
- ภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม
ภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมที่ทรัมป์เคยกำหนดไว้ก่อนหน้านี้ก็มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ต้นเดือนนี้ โดยปัจจุบันโลหะทั้งสองชนิดถูกเก็บภาษีในอัตรา 25%
- เลื่อนเก็บภาษีแคนาดาและเม็กซิโก 25%
แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับต้นๆ ของสหรัฐ ก็เผชิญกับภาษีศุลกากรที่สูงเช่นกัน แต่เมื่อต้นเดือนนี้ ทรัมป์ได้ตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษีศุลกากร 25% สำหรับทั้งสองประเทศออกไปบางส่วนเป็นเวลา 1 เดือน
ทรัมป์เดินหน้าเก็บภาษีเพิ่ม
หลังจากนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ทรัมป์จะเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก โดยทรัมป์ขู่ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆ เช่น ทองแดง ไม้แปรรูป ยา และชิปคอมพิวเตอร์
ขณะเดียวกันหลายประเทศมีแนวโน้มว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐ หากมาตรการเหล่านั้นถูกบังคับใช้จริง หรือบางประเทศก็ได้เริ่มดำเนินการตอบโต้ไปแล้ว
สหภาพยุโรปได้ประกาศมาตรการเพื่อตอบโต้มาตรการภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมของทรัมป์ ต่อสินค้าจากสหรัฐ ซึ่งมูลค่าราว 28,000 ล้านดอลลาร์ โดยยุโรปกำหนดเป้าหมายไปที่ผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียม รวมถึงเนื้อวัว เนื้อสัตว์ปีก เหล้าเบอร์เบิน มอเตอร์ไซค์ เนยถั่ว และกางเกงยีนส์จากสหรัฐ