กว่าจะเป็นผู้ชนะ! ศึกธุรกิจอาหารใน 'จีน' โหด แข่งตัดราคาทำเจ๊ง '3 ล้านร้าน'

กว่าจะเป็นผู้ชนะ! ศึกธุรกิจอาหารใน 'จีน' โหด แข่งตัดราคาทำเจ๊ง '3 ล้านร้าน'

กว่าธุรกิจ ‘ร้านอาหารจีน’ จะเป็นผู้ชนะในตลาดโลก ต้องแข่งขันใน ‘วงจรอุบาทว์’ ขายราคาต่ำ-ต้นทุนน้อย ในยุคเงินฝืด ทำ 3 ล้านร้านเจ๊งในปี 2024 สุดท้ายคนเดือดร้อนคือผู้บริโภค

ในปี 2024 ที่ผ่านมา ร้านอาหารจากแดนมังกรหรือ “ประเทศจีน” ก้าวขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดอันดับต้นๆ ทั้งในตลาดจีนและตลาดโลก ด้วยกลยุทธ์ “สงครามราคา” ตั้งแต่ร้านอาหารขนาดเล็กเสนอเมนูอาหารเช้าราคาถูก ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อย่าง BYD ที่ลดราคารถยนต์ลงอย่างมากเพื่อ “ดึงดูด” ผู้บริโภคในการแข่งขันที่ดุเดือด

ทว่ากลยุทธ์ “สงครามราคา” จากธุรกิจอาหารจีน ไม่ได้ใช้ล้มเจ้าถิ่นในตลาดต่างประเทศเท่านั้น เพราะกว่าธุรกิจจีนเหล่านี้จะขึ้นมาเทียบชั้นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในตลาดใหม่ได้สำเร็จ อาจจะต้องเป็นผู้ชนะการแข่งขันในประเทศ ที่มีผู้แพ้ต้องปิดตัวไปกว่า 3 ล้านร้านมาแล้ว

"สงครามราคา" ถล่มร้านอาหารจีน 3 ล้านแห่งปิดตัว

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจจีนซบเซา การเปิดร้านอาหารเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เผชิญความยากลำบาก ต้องเจอการแข่งขันที่ดุเดือดถึงขั้น “ขาดทุน”  ร้านอาหารต่างๆ ต้องแข่งกันลดราคาอย่างหนัก บางร้านขายกาแฟแก้วละ 9.9 หยวน (ประมาณ 47 บาท) หรืออาหารชุดสำหรับ 4 คนในราคา 99 หยวน (ประมาณ 480 บาท) ซึ่งถือว่าราคาถูกอย่างมากในจีน

กว่าจะเป็นผู้ชนะ! ศึกธุรกิจอาหารใน \'จีน\' โหด แข่งตัดราคาทำเจ๊ง \'3 ล้านร้าน\'

ข้อมูลจาก Qichacha ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จดทะเบียนบริษัทจีนระบุว่า ในปีที่ผ่านมาจำนวนบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทั่วประเทศปิดตัวลงสูงเป็นประวัติการณ์ เกือบ 3 ล้านแห่ง โดยในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว และเซินเจิ้น มีอัตราการปิดร้านอาหารในแต่ละเดือนสูงกว่า 10% ถึง 15%

“อัน ต้าเหว่ย”  ชายวัย 38 ปี ที่ทำธุรกิจขายอุปกรณ์ครัวมือสองกล่าวว่าสำหรับคนทั่วไปในจีนการเปิดร้านอาหารเหมือนกับการบอกว่า “ฉันจะเจ๊งนะ”

ต้าเหว่ยพูดถึงเรื่องราวเบื้องหลังของตู้เย็น เตาทำอาหาร เตาอบขนมปัง ที่วางเรียงรายอยู่ว่าอุปกรณ์ครัวมือสองเหล่านี้ คือเรื่องราวของร้านอาหารมากมายที่เคยใช้เปิดร้านในปักกิ่ง ซึ่งเจ้าของทุ่มเงินเก็บเพื่อเปิดร้าน โดยหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นหลังโควิด-19 แต่สุดท้ายกลับต้องปิดตัวลง เพราะคนไม่ค่อยออกไปกินข้าวนอกบ้าน เพราะเศรษฐกิจจีนกำลัง “ซบเซา”

ไปต่อไม่ไหวเพราะรายได้ ‘ไม่คุ้มทุน’

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ราคาอาหารเหล่านี้อยู่ไม่ไหวคือ “ค่าเช่า” 

ผู้จัดการร้านเบเกอรี่แฟรนไชส์ในห้างแห่งหนึ่งใจกลางปักกิ่งบอกว่า “ค่าเช่าที่” ที่แพงถึงเดือนละ 50,000 หยวน (ประมาณ 250,000 บาท) และคนเดินผ่านไปมาน้อย เป็นสาเหตุที่ทำให้ร้านของเขาต้องปิดตัวลงหลังจากเปิดมาได้แค่ 14 เดือนเท่านั้น 

แต่ร้านเบเกอรี่ข้างๆ ซึ่งขายของเหมือนกัน รสชาติอาจจะไม่ดีเท่า แต่ราคา "ถูกกว่า" 10 หยวน กลับยังอยู่ต่อ เพราะเมื่อเงินหายากขึ้นทำให้คนส่วนใหญ่ก็เลือกซื้อของถูกกว่า

 "ตอนนี้คนไม่มีเงิน หรือถ้ามี ก็ไม่กล้าใช้จ่ายเหมือนเมื่อก่อน เพราะหาเงินยากมาก"

ตอนนี้ร้านอาหารในจีนมีอายุขัยสั้นลงก็ว่าได้นักวิเคราะห์เผยว่า ร้านอาหารในจีนมีอายุเฉลี่ยเพียง 500 วันเท่านั้น และในปักกิ่งอาจจะสั้นกว่านั้นด้วยซ้ำ 

นอกจากนี้ ข้อมูลจากเทศบาลแสดงให้เห็นว่า กำไรของร้านอาหารในปักกิ่งลดลงไปถึง 88% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567

 จู ตันเผิง นักวิเคราะห์ด้านอาหารบอกว่า "ร้านอาหารระดับกลางๆ มีโอกาสเจ๊งมากกว่า เพราะรายได้ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย" โดยเฉพาะร้านที่คิดราคาอาหารต่อคนประมาณ 100 ถึง 120 หยวน (ประมาณ 473 ถึง 567 บาท)

หลายแห่งต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดจากการแข่งขันเรื่อง “ราคา” ที่รุนแรง และการที่ร้านอาหารต้องเปลี่ยนเมนูอยู่ตลอดเวลาเพื่อดึงดูดไม่ให้ลูกค้าเบื่อ รวมทั้งหลายแห่งต้องจำใจยอมลดต้นทุนลง ให้เหลือประมาณ 70 หยวนถึง 80 หยวนต่อลูกค้าหนึ่งคน

วงจรอุบาทว์ธุรกิจร้านอาหาร

  สงครามราคาเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2023 หลังจากที่จีนยกเลิกมาตรการคุมโควิด ซึ่งทำให้คนแห่มาเปิดร้านอาหารกันเยอะมาก ตามมาด้วยคนจำนวนมากในหลายธุรกิจต้องตกงาน  เช่น อสังหาริมทรัพย์ การศึกษา การเงิน และเทคโนโลยี

ในการประชุมสภานิติบัญญัติในก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จีนให้คำมั่นว่าจะใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อบรรเทาการแข่งขันที่มากเกินไป ซึ่งสงครามราคาในธุรกิจร้านอาหารเป็นหนึ่งในปัญหาที่ชัดเจนที่สุด

สุดท้ายแล้ว ปี 2024 ร้านอาหารจำนวนมากต้องปิดตัวลง ทำให้รายได้ของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในจีนเติบโตช้าลงมาก จากที่เคยโต 20.4% ในปี 2023 เหลือแค่ 5.3% ส่วนร้านอาหารที่ยังคงอยู่รอดต้องลดอัตรากำไรลงอย่างมากเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้

"วงจรอุบาทว์ของการแข่งขันเริ่มเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ  สุดท้ายคนที่จะเดือดร้อนก็คือผู้บริโภค เพราะเมื่อร้านอาหารไม่สามารถขาดทุนได้อีกต่อไปและต้องการกำไร ทางเลือกเดียวที่มีคือการลดคุณภาพของวัตถุดิบ”

ที่มา: Reuters