จีดีพี 'เวียดนาม' ไตรมาส 1 ชะลอตัว อ่อนแรงก่อนถูกทรัมป์ซ้ำภาษี

จีดีพี 'เวียดนาม' ไตรมาสแรกเริ่มชะลอตัว อ่อนแรงก่อนถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ 46% ด้านนายกฯ ยังยืนยันเป้าจีดีพี 8% ปีนี้ เผยเป็นจังหวะปรับสมดุลตลาดใหม่
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามว่า เศรษฐกิจเวียดนามในไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวได้ 6.93% "ชะลอตัวลง" จากไตรมาส 4 ปีที่แล้วซึ่งขยายตัวได้ 7.55% และน้อยกว่าที่บลูมเบิร์กคาดการณ์เอาไว้ที่ 7.1% ในขณะที่ประเทศกำลังเตรียมรับมือกับมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐที่เสี่ยงฉุดการเติบโตในอนาคตของเวียดนาม
สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามระบุว่า “การค้ากับสหรัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม” โดยภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลิตภัณฑ์หลัก 6 รายการ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 74% ของการส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐ รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า และไม้
สำหรับภาคการผลิตยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรก โดยมีการขยายตัว 9.28% "อย่างไรก็ตาม ภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐอาจทำให้บริษัทต่างชาติบางแห่งย้ายการผลิตบางส่วนออกจากเวียดนาม"
ทั้งนี้ เวียดนามนับเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตราที่สูงที่สุดในโลกที่ 46% ซึ่งรัฐบาลทรัมป์ระบุถึงว่าเป็นผู้ที่กระทำผิดมากที่สุด โดยพิจารณาจากจำนวนภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีที่ประเทศนั้นๆ เรียกเก็บกับสหรัฐ โดยภาษีใหม่ของสหรัฐนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเป้าหมายอันทะเยอทะยานของเวียดนามที่ตั้งเป้าจีดีพีเติบโต 8% ในปี 2568 นี้
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ยังคงย้ำว่าเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีในปีนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงเป้าหมายการขยายตัวเลขสองหลักในปีต่อๆ ไป นอกจากนี้ยังสั่งการให้กระทรวงการคลังทบทวนนโยบายภาษี ภายหลังจากที่ พล.อ. โต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้โทรศัพท์สายตรงพูดคุยกับประธานาธิดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
นายกฯ เวียดนามระบุในเว็บไซต์ของรัฐบาลในวันนี้ว่า "การประกาศใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ อาจทำให้เกิดการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกขึ้น แม้ว่าสหรัฐจะเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม แต่ก็ไม่ใช่ตลาดเดียวเท่านั้น"
"ภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐยังเป็นโอกาสของประเทศในการปรับโครงสร้างตลาดส่งออก และปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อเจาะตลาดภูมิภาคอื่นๆ ที่มีศักยภาพสูง เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก เอเชียกลาง ละตินอเมริกา อินเดีย และอาเซียนด้วย" นายกฯ เวียดนามระบุ