ศาลสหรัฐตัดสินให้ ‘ทรัมป์’ ใช้ ‘กม.ศัตรูต่างด้าว’ เนรเทศอาชญากรเวเนซุเอลาได้

ศาลสหรัฐตัดสินให้ ‘ทรัมป์’ ใช้ ‘กม.ศัตรูต่างด้าว’ เนรเทศอาชญากรเวเนซุเอลาได้

ศาลฎีกาสหรัฐตัดสินให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เนรเทศผู้ต้องสงสัยชาวเวเนซูเอลาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกแก๊งอาชญากรรมในสหรัฐ โดยใช้กฎหมายศัตรูต่างด้าวที่เคยใช้ในช่วงสงคราม

ศาลฎีกาสหรัฐตัดสินให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินการเนรเทศผู้ต้องสงสัยชาวเวเนซุเอลาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกแก๊งอาชญากรรมในสหรัฐ โดยใช้กฎหมาย 1789 ที่ในประวัติศาสตร์นำมาใช้เฉพาะช่วงสงครามเท่านั้น แต่การใช้กฎหมายดังกล่าวยังคงมีข้อจำกัด

คำตัดสินดังกล่าวมีมติที่ 5 ต่อ 4 เสียง โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษนิยมให้ใช้กฎหมายดังกล่าวเนรเทศแก๊งเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นไปตามคำร้องขอของรัฐบาลที่ให้ยกเลิกการสั่งระงับเนรเทศชาวต่างด้าวภายใต้กฎหมายศัตรูต่างด้าวเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ของเจมส์ โบส์เบิร์ก ผู้พิพากษาสหรัฐประจำกรุงวอชิงตัน

แม้คำตัดสินเข้าข้างฝ่ายรัฐบาล แต่เสียงส่วนใหญ่ของศาลได้ระบุข้อจำกัดในการเนรเทศ โดยย้ำว่าจำเป็นต้องมีการพิจารณาจากศาล

“ผู้ถูกควบคุมตัวต้องได้รับแจ้งหลังจากมีคำสั่งออกมาว่าพวกเขาถูกขับออกจากประเทศภายใต้กฎหมายดังกล่าว การแจ้งเตือนต้องแจ้งภายในระยะเวลาอันเหมาะสม และให้พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากทางการได้ก่อนถูกย้ายออกไป”

ฝ่ายรัฐบาลทรัมป์ โต้แย้งว่าโบส์เบิร์กละเมิดอำนาจในการตัดสินใจด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดี

ทรัมป์ประกาศใช้กฎหมายศัตรูต่างด้าวเมื่อวันที่ 15 มี.ค. เพื่อส่งผู้ต้องสงสัยสมาชิกแก๊ง Tren de Aragua ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเป็นที่ทราบกันดีว่าใช้กักขังผู้อพยพชาวญี่ปุ่น อิตาลี และเยอรมนีในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

ทั้งนี้ การใช้กฎหมายดังกล่าวสร้างความไม่พอใจและทำให้เกิดความรู้สึกไม่ยุติธรรม โดยกลุ่มชายชาวเวเนซุเอลากลุ่มหนึ่งที่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐ ได้ออกมาฟ้องร้องในนามของพวกเขาเองและบุคคลอื่นๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเพื่อพยายามขัดขวางการเนรเทศ

พวกเขาแย้งว่าคำสั่งของทรัมป์เกินขอบเขตอำนาจ เพราะกฎหมายศัตรูต่างด้าวบังคับใช้เนรเทศได้ก็ต่อเมื่อมีการประกาศสงครามเท่านั้น หรือในกรณีที่สหรัฐถูกรุกราน

กฎหมายให้อำนาจประธานาธิบดีในการเนรเทศ จับกุม หรือออกมาตรการจำกัดต่อบุคคลที่จงรักภักดีต่ออำนาจในต่างประเทศเป็นหลัก และคนที่อาจสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติในช่วงสงคราม

 

อ้างอิง: Reuters