ความต้องการทองในเอเชียพุ่งประวัติการณ์

ความต้องการทองในเอเชียพุ่งประวัติการณ์

สมาพันธ์ทองคำโลก เผย ความต้องการทองในเอเชียสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เหตุราคาร่วง ทำความต้องการพุ่ง

สมาพันธ์ทองคำโลก (ดับเบิลยูจีซี) ระบุว่าเดือนเมษายนถึงมิถุนายน จะเป็นไตรมาสที่เอเชียมีความต้องการทองคำสูงสุด เนื่องจากผู้บริโภคในภูมิภาคนี้จะหันมาครอบครองทองคำมากขึ้น หลังจากบรรดากองทุนพากันเทขายทอง

ราคาทองคำร่วงไปอยู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีที่ 1,321.35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงกลางเดือนเมษายน ท่ามกลางสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในตลาดหลัก และความวิตกว่าธนาคารกลางทั่วโลกอาจเริ่มปรับลดมาตรการคิวอี ซึ่งสร้างความกังวลให้กับบรรดานักลงทุนในตะวันตก และจุดชนวนให้มีการเทขายทองที่ซื้อไว้เพื่อเก็งกำไร

ขณะเดียวกัน ราคาทองที่ลดลงได้กระตุ้นให้เกิดความต้องการทองคำอย่างมากจากประเทศอย่างอินเดียและจีน ซึ่งมีความต้องการทองคำมากกว่า 50% ของทั้งหมด

นายมาร์คัส กรับบ์ กรรมการผู้จัดการของดับเบิลยูจีซี กล่าวว่าในไตรมาสที่สองของปี 2556 ตลาดเอเชียจะมีความต้องการทองคำมากเป็นประวัติการณ์ โดยแม้บรรดากองทุนในสหรัฐพากันเทขายหรือลดสัดส่วนในกองทุนที่ลงทุนในทองคำอย่างต่อเนื่อง แต่มีแนวโน้มอย่างมากว่าผู้บริโภคในตลาดอื่น อย่างอินเดีย จีน และตะวันออกกลาง จะเข้าช้อนซื้อทองคำ เพราะมองภาพการลงทุนระยะยาว

ดับเบิลยูจีซีคาดการณ์ว่า การนำเข้าทองคำของอินเดียจะอยู่ที่ 350-400 ตันในไตรมาสที่สอง ซึ่งสูงกว่าปีก่อน 200% และคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของยอดการนำเข้าทั้งหมดเมื่อปีที่ผ่านมา เทียบกับยอดการนำเข้าทองคำปริมาณ 256 ตันในไตรมาสแรกของปี 2556

นายกรับบ์ กล่าวว่า เฉพาะเดือนเม.ย.เดือนเดียว ยอดการนำเข้าสุทธิทองคำของจีนแตะระดับ 160-170 ตันแล้ว และความต้องการยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง ดังนั้นการนำเข้าทั้งหมดในปีนี้ก็อาจแตะระดับเกินกว่า 800 ตัน เทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งอยูที่ 780-880 ตัน