อุตฯรถยนต์ทั่วโลกจับตาสหรัฐขึ้นภาษีรถนำเข้า

อุตฯรถยนต์ทั่วโลกจับตาสหรัฐขึ้นภาษีรถนำเข้า

หอการค้าอเมริกัน ออกแถลงการณ์เตือนว่า มาตรการเข้มงวดด้านการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ เพิ่มความเสี่ยงด้านการตกงานให้แก่แรงงานชาวอเมริกันมากถึง 2.6 ล้านตำแหน่ง

ขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐมีความคืบหน้าดีในมุมมองของผู้นำสหรัฐและผู้นำจีน การดำเนินมาตรการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของบริษัทอเมริกันโดยรัฐบาลสหรัฐยังคงเดินหน้าต่อไปและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ออกแถลงการณ์ว่ารถยนต์นำเข้าสารพัดแบรนด์จากต่างประเทศเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศ

แหล่งข่าวจากแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปรายหนึ่ง ระบุว่าเมื่อเดือน พ.ค.ปีก่อน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์สอบสวนว่า รถยนต์นำเข้า และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศหรือไม่ซึ่งรายงานสรุปของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า“เป็นภัยคุกคาม”

กระทรวงพาณิชย์มีกำหนดส่งรายงานที่จะสร้างความเสี่ยงใหญ่หลวงแก่ผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติให้ทำเนียบขาวภายในวันอาทิตย์ (17 ก.พ.) ตามเวลาสหรัฐ และประธานาธิบดีทรัมป์มีเวลา 90 วัน ที่จะตัดสินใจว่าจะเดินหน้าเก็บภาษีหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีสหรัฐเคยขู่ว่าจะเก็บภาษีรถยุโรป 20% โดยเฉพาะรถยนต์นำเข้าจากเยอรมนีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า เป็นอันตรายต่ออุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐอย่างมาก

 “หากรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าและชิ้นส่วนรถยนต์จริงตามที่กระทรวงพาณิชย์กำลังเสนอให้ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนาม ท้ายที่สุด ภาระก็จะไปตกอยู่ที่ผู้บริโภคอเมริกันที่จะต้องซื้อรถยนต์ราคาแพงขึ้น” แอน วิลสัน รองประธานอาวุโสจากมอเตอร์ แอนด์ อีควิปเมนท์ แมนูแฟคเจอร์ แอสโซซิเอชัน ตัวแทนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์อเมริกันให้ความเห็น

กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในเมืองดีทรอยต์ สหรัฐ รวมทั้งผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ในสหรัฐ วิตกกังวลว่า มาตรการภาษีใหม่นี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกมากกว่าที่เป็นอยู่ หรืออาจจะนำไปสู่การตอบโต้กันด้วยมาตรการภาษีเพิ่มขึ้นจากประเทศคู่ค้า ที่ไม่ใช่เฉพาะจากจีน เพราะปัจจุบัน กลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์และผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอลูมิเนียมอยู่แล้ว ส่วนตัวแทนจำหน่ายก็วิตกกังวลว่า ยอดขายรถยนต์จะร่วงลง

เมื่อครั้งที่สหรัฐ เก็บภาษีนำเข้าเหล็กที่ 25% และอะลูมิเนียม 10% จากชาติคู่ค้าในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือก็จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาแล้ว โดย“ฌอง-คล็อด ยุงเกอร์” ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า มาตรการของสหรัฐเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ และอียูไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนำเรื่องนี้เข้าหารือกับองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) รวมทั้งเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐด้วย

ส่วน“จัสติน ทรูโด” นายกรัฐมนตรีแคนาดา บอกว่า การเก็บภาษีของสหรัฐ เป็นการดูหมิ่นความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างแคนาดากับสหรัฐอย่างมาก แคนาดาจึงจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเป็นการตอบโต้ เช่นเดียวกับเม็กซิโก ที่ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ถึงกับต่อสายตรงถึงประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อบอกว่า การกระทำของสหรัฐผิดกฎหมาย และอียูจะตอบโต้สหรัฐอย่างเหมาะสม

หอการค้าอเมริกัน ออกแถลงการณ์เตือนว่า มาตรการเข้มงวดด้านการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ เพิ่มความเสี่ยงด้านการตกงานให้แก่แรงงานชาวอเมริกันมากถึง 2.6 ล้านตำแหน่ง ซึ่งการที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมอาจทำให้ชาวอเมริกันสูญเสียงาน 470,000 ตำแหน่ง และการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์อาจทำให้สูญเสียงาน 157,000 ตำแหน่ง