“จีน”วาดฝันผลิตชิปป้อนตลาดโลกปี63
จีน ตั้งเป้าผลิตชิปความจำในปริมาณเพิ่มขึ้นจากศูนย์เปอร์เซนต์เมื่อปีที่แล้ว เป็น5%ของผลผลิตชิปโดยรวมทั่วโลกภายในปลายปี2563 และภายใต้นโยบายพึ่งพาเทคโนโลยีตนเองของรัฐบาลปักกิ่ง ทำให้จีนประกาศว่าจะเริ่มผลิตชิปความจำปริมาณมากสำหรับตลาดโลกได้ตั้งแต่ปีหน้า
รัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งประกาศกลยุทธให้ความสำคัญอันดับต้นๆกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจังหลังจากที่ละเลยอุตสาหกรรมนี้มานาน และหลังจากที่สหรัฐคว่ำบาตรบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่ง โดยให้เหตุผลว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะบริษัทผลิตชิปที่อาจจะถูกนำไปใช้งานด้านการทหารและใช้เป็นอุปกรณ์ด้านความมั่นคง
“แยงซี เมมโมรี เทคโนโลยีส์ โค” ซึ่งผลิตชิปความจำ NAND หรือหน่วยความจำประเภทแฟลชไดรฟ์ คาดการณ์ว่าจะผลิตชิปความจำเพิ่มขึ้น3เท่าเป็นเดือนละ 60,000 เวเฟอร์ หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% ของผลผลิตชิปโดยรวมทั่วโลก ภายในปลายปีหน้าโดยผลิตที่โรงงานมูลค่า 24,000 ล้านดอลลาร์ในเมืองอู๋ฮั่น ที่เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2559
เช่นเดียวกับบริษัทจางซิน เมมโมรี เทคโนโลยีส์ ที่คาดการณ์ว่าจะผลิตชิป DRAM เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 เท่าเป็นเดือนละ 40,000 เวเฟอร์ หรือ 3% ของผลผลิตชิปDRAM โดยรวมทั่วโลก ที่โรงงานมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์ในเมืองเหอเฟย
แต่โมดูลที่จางซินผลิต ยังเป็นโหนดขนาด 18 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ตามหลังตัว 16 หรือ 12 นาโนเมตร ที่ผู้ผลิตเจ้าตลาดในปัจจุบันอย่างซัมซุง เอสเค ไฮนิกส์และไมครอนใช้กัน โดยทั้ง 3 บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 95%
ปัจจุบัน กำลังการผลิตหน่วยความจำประเภทแฟลชไดรฟ์และชิป DRAM ทั่วโลก ซึ่งจีนไม่เคยผลิตมาก่อน อยู่ที่ประมาณเดือนละ 1.3 ล้านเวเฟอร์ สำหรับชิปแต่ละประเภท และในอุตสาหกรรมชิปทั้ง2ประเภทนี้ มีบริษัทสหรัฐ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเป็นจ้าวตลาดอยู่ เ่ช่น บริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ เอสเค ไฮนิกซ์ ไมครอน และไครอ็อกเซีย หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อบริษัทโตชิบา เมมโมรี
“ตอนนี้บริษัทผลิตชิปของจีนทั้ง2แห่งยังผลิตชิปได้ในปริมาณไม่มากนักแต่คุณภาพของชิปดีขึ้นมาก การที่บริษัทเหล่านี้หันมาให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมชิปและตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตในปีหน้าจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้แน่นอน”ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมชิปให้ความเห็น
บริษัทแยงซี เมมโมรี ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่องนี้ บอกแต่เพียงว่า บริษัทเริ่มผลิตชิปความจำNAND 64 ชั้นตั้งแต่เดือนก.ย.และจะเพิ่มเป็นกำลังการผลิตตามแผนของบริษัท
ชิปความจำ NAND ซึ่งมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ปีละ 56,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนชิป DRAM มีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ 95,000 ล้านดอลลาร์ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์ประเภทต่างๆตั้งแต่สมาร์ทโฟน เซอร์เวอร์ศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
แหล่งข่าววงในเผยว่า ขณะนี้มีคำสั่งซื้อชิปความจำ NAND จากบริษัทแยงซี เมมโมรีจากบริษัทเทคโนโลยีทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ อาทิ บริษัทเลอโนโว ซึ่งมีแผนติดตั้งชิปทั้ง2ประเภทในคอมพิวเตอร์ที่ผลิตขายในจีนและผลิตขายในต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ บริษัทแยงซี เมมโมรี ยอมรับว่าชิปที่บริษัทผลิตถูกนำไปใช้ในแอพพลิเคชันที่หลากหลาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่ต้องการก้าวขึ้นไปเป็นผู้เล่นระดับโลก
“ความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ถือเป็นหลักไมล์สำหรับบริษัทจีน การผลิตชิปของแยงซี เมมโมรี อาจจะถูกมองว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผู้เล่นรายใหญ่ๆในตลาดโลกในตอนนี้ ทั้ง ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ เอสเค ไฮนิกซ์ และโตชิบา แต่จีนถือเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวอย่างแท้จริง เพราะแนวคิดในการทำกำไรจากธุรกิจของบริษัทจีนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบริษัทสัญชาติอื่น”ผู้บริหารบริษัทไลท์-ออน เทคโนโลยี ซึ่งร่วมทุนผลิตชิปกับบริษัทแยงซี เมมโมรี ให้ความเห็น
การดิ้นรนต้องการก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลกของผู้ผลิตชิปจีน เกิดขึ้นหลังจากเกิดการปะทะกันทางการค้าเทคโนโลยี ระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งเพิ่มดีกรีความร้อนแรงต่อเนื่องข้ามมาจากเมื่อปลายปี 2561 โดยมี เทคโนโลยี 5จี เป็นตัวประกันสำคัญ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ใช้เป็นพยานหลักฐานฟ้องร้อง และกดดันบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอันดับ 1 ของจีน ให้กระเด็นออกไปจากสนามการค้ายุคใหม่ ซึ่งมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5จี ที่ถูกจับตามองว่าเป็น “เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก”
เทคโนโลยี 5จี ทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง เพราะจะเข้ามามีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างมากในอนาคตอันใกล้ ทั้งยังก้าวข้ามสัญญาณโทรศัพท์แบบเดิมและเข้ามามีส่วนในประวัติศาสตร์การใช้ชีวิตของมนุษย์ยุคนี้มากขึ้น อาทิ การสร้างเมืองอัจฉริยะ หุ่นยนต์ ยานพาหนะไร้คนขับ และนวัตกรรมในอุตสาหกรรมการแพทย์ เกษตรกรรม และการศึกษา เนื่องจากเทคโนโลยีนี้จะมาพร้อมกับความสามารถในการสื่อสารได้อย่างรวดเร็วขึ้น
ความล่าช้าจากการส่งข้อมูลจะลดลงมาอยู่ที่ 1 มิลลิวินาที (หนึ่งในพันของวินาที) ทำให้การสื่อสารมีความรวดเร็วแทบจะเท่ากับการสื่อสารในเวลาจริง ซึ่งหมายความว่า ถ้าบริษัทเทคโนโลยีรายใด หรือของประเทศใด ครอบครองพื้นที่โลกด้วยการใช้งาน 5จี ย่อมมีโอกาสสูงที่จะส่งผลให้กลายเป็นผู้ชี้นำอนาคตแห่งมวลมนุษยชาติยุคใหม่ได้อย่่างไม่ต้องสงสัย