อิมพีชเมนท์ 'ทรัมป์' ร้ายแรงกว่าคดี 'วอเตอร์เกต'

อิมพีชเมนท์ 'ทรัมป์' ร้ายแรงกว่าคดี 'วอเตอร์เกต'

เป็นกระบวนการถอดถอนครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในรอบกว่า 20 ปี นับตั้งแต่นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตได้ถูกไต่สวน เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2541

ทั่วโลกกำลังติดตามการไต่สวนคดีที่ถูกจับตามากที่สุดในสหรัฐขณะนี้ คือการไต่สวนคดีเพื่อถอดถอนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีลำดับที่ 45 ของสหรัฐ ออกจากตำแหน่ง

ทรัมป์ ถือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 4 ของสหรัฐที่ถูกยื่นไต่สวนเพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นกระบวนการถอดถอนครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในรอบกว่า 20 ปี นับตั้งแต่นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตได้ถูกไต่สวน เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2541

อดัม ชิฟฟ์ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และผู้นำกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ระบุว่า ความผิดของประธานาธิบดีทรัมป์ ร้ายแรงกว่าเหตุการณ์วอเตอร์เกตสุดอื้อฉาว ซึ่งทำให้นายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีในขณะนั้นต้องลาออกเสียด้วยซ้ำ

157455538210

ทั้งนี้ กลุ่มส.ส.สหรัฐใช้เวลา 3 วันในการไต่สวนพยาน 8 คน เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่าปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจตัวเองกดดันให้นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ทำการสอบสวนนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งปธน.สหรัฐในปี 2563 และบุตรชายของนายไบเดน ซึ่งทำธุรกิจในยูเครน

ส.ส.พรรคเดโมแครต กล่าวหาว่า ปธน.ทรัมป์ กดดันปธน.เซเลนสกีด้วยการระงับเงินช่วยเหลือทางการทหารเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครน แต่มีผู้ไม่ประสงค์ออกนามเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวให้กับสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่กระบวนการยื่นถอดถอนปธน.ทรัมป์ในเวลาต่อมา

ในการไต่สวนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากสถานทูตสหรัฐประจำยูเครน ให้การว่า จากมุมมองของตนเอง เห็นได้ชัดว่าการที่ปธน.ทรัมป์ระงับเงินช่วยเหลือทางการทหารให้แก่ยูเครน เป็นได้ 2 กรณีคือ ไม่พอใจที่ทางยูเครนไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนนายไบเดน หรือไม่ก็เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ยูเครนให้ความร่วมมือ

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ระบุว่า ขณะนั้นตนเองนั่งอยู่ตรงข้ามกับกอร์ดอน ซอนด์แลนด์ ทูตสหรัฐประจำสหภาพยุโรป (อียู) และได้ยินนายซอนด์แลนด์พูดว่าปธน.เซเลนสกี จะยอมทำทุกอย่างที่ขอ รวมถึงได้ยินเสียงของปธน.ทรัมป์อย่างชัดเจน

กระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนปธน.ทรัมป์ในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเบิกพยานเพื่อให้ปากคำในการไต่สวนสาธารณะ หลังจากคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐได้เริ่มเปิดการไต่สวนสาธารณะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อพิจารณาถอดถอนทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี

157455539339

จากข้อกล่าวหาที่ว่า ทรัมป์ใช้อำนาจโดยมิชอบบีบเซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนให้เปิดการสอบสวนกรณีการทุจริตของ โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐสมัยบารัก โอบามา ซึ่งเป็นคู่แข่งคนสำคัญจากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปี 2563 พร้อมด้วยนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชาย ผู้บริหารบริษัทบูริสมาซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งหนึ่งในยูเครน

ทรัมป์ขู่ว่า จะระงับการให้ความช่วยเหลือทางทหาร วงเงิน 391 ล้านดอลลาร์ หากผู้นำยูเครนไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนนายไบเดน ซึ่งเท่ากับว่าทรัมป์ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

ป้าหมายของทรัมป์ที่จ้องจะทำลายนายไบเดน คู่แข่งในศึกเลือกตั้งปีหน้า ได้ย้อนกลับมาเล่นงานเขา และเป็นต้นตอที่ทำให้ทรัมป์ต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนเสียเอง โดยชะตากรรมทางการเมืองของทรัมป์อาจจะจบลงด้วยการถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีก็เป็นได้

หากการไต่สวนพบว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดทรัมป์ คณะกรรมาธิการก็จะดำเนินการในขั้นตอนต่อๆ ไป ซึ่งจะนำไปสู่การลงมติถอดถอนทรัมป์ในสภาผู้แทนราษฎรแบบเต็มคณะ อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดว่า ถึงแม้สภาล่างอาจโหวตรับรองให้ยื่นญัตติถอดถอนทรัมป์ แต่การถอดถอนก็ไม่น่าจะผ่านความเห็นชอบในวุฒิสภา ซึ่งมีส.ว.พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ในอดีตที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐคนใดที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้สำเร็จมาก่อน

กระบวนการถอดถอนทรัมป์ในขั้นตอนแรก จะเริ่มจากคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ 6 คณะทำการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการตุลาการสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณาเริ่มต้นกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนทรัมป์ (ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนนี้) หากการไต่สวนพยานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในคดีแล้วไม่พบหลักฐานเพียงพอว่าปธน.ทรัมป์กระทำความผิด ปธน.ทรัมป์ก็จะยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐต่อไป แต่หากพบหลักฐานเพียงพอว่าทรัมป์กระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐก็จะลงมติกระบวนการยื่นถอดถอน

ในการลงมติสำหรับกระบวนการยื่นถอดถอนนั้น หากเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐไม่ถึง 51% ทรัมป์ก็จะยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐต่อไป แต่หากเสียงสนับสนุนการถอดถอนเกินกึ่งหนึ่ง (51%) ทรัมป์ก็จะถูกยื่นถอดถอน และวุฒิสภาจะเริ่มทำการไต่สวนต่อไป

เมื่อวุฒิสภาไต่สวนแล้วลงมติด้วยเสียงน้อยกว่า 2 ใน 3 ว่า ทรัมป์มีความผิดตามข้อกล่าวหา ทรัมป์ก็จะรอดจากการถูกถอดถอนและยังคงทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐต่อไป แต่หากวุฒิสมาชิก 2 ใน 3 (67%) ลงมติว่าทรัมป์มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา ทรัมป์ก็จะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีก็จะเข้ารับหน้าที่แทนในช่วงวาระการดำรงตำแหน่งที่เหลืออยู่ของทรัมป์