เช็คสภาพเศรษฐกิจโลก 'โควิด' ทุบตลาดแรงงานอ่วม

ผลพวงจากการล็อกดาวน์ประเทศส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำกิจกรรมทางธุรกิจ เศรษฐกิจทุกรูปแบบ ทั้งใหญ่และเล็ก ก่อนจะตามมาด้วยจำนวนคนตกงานที่มากมายมหาศาล
ผลพวงจากการล็อกดาวน์ประเทศส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำกิจกรรมทางธุรกิจ เศรษฐกิจทุกรูปแบบ ทั้งใหญ่และเล็ก ก่อนจะตามมาด้วยจำนวนคนตกงานที่มากมายมหาศาลหากนับรวมทั้งโลก และไม่ใช่ภาคแรงงานเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ผลผลิตทางอุตสาหกรรมในประเทศต่างๆก็พลอยหดหายไปด้วย
มาสำรวจภาพรวมความบอบช้ำของเศรษฐกิจของโลกจากโควิด-19 ไปด้วยกันในบทความนี้!
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกยังไม่ถือว่าดีขึ้น ล่าสุด วานนี้ (25เม.ย.) เว็บไซต์ Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุด ที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 2,831,513 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 197,297 ราย รักษาหายแล้ว 806,894 ราย
ขณะนี้มีการจับตาดูว่ายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกจะทะลุ 3,000,000 รายเมื่อใด หลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก 1,000,000 ราย สู่ 2,000,000 รายภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ จากวันที่ 2 เม.ย.-15 เม.ย.
ในจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกนั้น สหรัฐ ยังคงเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก คือมีจำนวน 903,775 ราย รองลงมาคือสเปน มีจำนวน 219,764 ราย อิตาลี จำนวน 192,994 ราย ฝรั่งเศส 159,828 ราย เยอรมนี 154,159 ราย สหราชอาณาจักร 143,464 ราย และตุรกี 104,912 ราย
นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลก 50,988 ราย ตามมาด้วยอิตาลี 25,969 ราย สเปน 22,524 ราย ฝรั่งเศส 22,245 ราย และสหราชอาณาจักร 19,506 ราย
จากสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏ ทุกประเทศจึงยังไม่ตัดสินใจปลดล็อกดาวน์ประเทศแบบเต็มร้อย ซึ่งหมายความว่ากิจกรรมทางธุรกิจและเศรษฐกิจประเภทต่างๆพลอยหยุดชะงักไปด้วย
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเพราะการระบาดของโควิด-19 จะฉุดให้เศรษฐกิจโลกหดตัวลง 3% ในปีนี้ และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หรือที่เรียกกันว่า “เกรทดีเปรสชั่น” (The Great Depression) ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ปิดฉาก
“กีตา โกปินาถ” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ มีความเห็นว่า เศรษฐกิจในปี2564 จะฟื้นตัวเพียงบางส่วนเท่านั้นและในกรณีที่สถานการณ์อยู่ในระดับดีที่สุด เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะสูญเสียผลผลิตทางเศรษฐกิจราว 9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงระยะเวลา 2 ปี ซึ่งสูงกว่าจีดีพีของเยอรมนีและญี่ปุ่นรวมกัน
แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดในมุมมองของบรรดานักเศรษฐศาสตร์คือ อัตราการว่างงานทั่วโลกที่พุ่งทะยาน ขณะที่หลายประเทศเริ่มเปิดเผยตัวเลขคนว่างงานในประเทศออกมาแล้ว เช่นในสหรัฐเมื่อวันที่ 18 เม.ย.กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอใช้สิทธิประโยชน์ในช่วงว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 4.43 ล้านคนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนแรงงานชาวอเมริกันว่างงานสะสมรวมกันเป็น 26.5 ล้านคนภายใน 5 สัปดาห์ผ่านมา
ภาวะการว่างงานในสหรัฐครั้งนี้อาจยาวนานใกล้เคียงในยุควิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่หรือเมื่อ 90 ปีก่อน ซึ่งในยุคนั้น อัตราว่างงานมีมากถึง 2 หลัก และกินเวลานานถึง 10 ปี
สำหรับจำนวนว่างงานในสหรัฐที่สูงถึงกว่า 26 ล้านคน ทำสถิติคนตกงานมากที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐ กล่าวคือชาวอเมริกัน 1 ใน 6 คนตกงานใน 5 สัปดาห์ผ่านมา ทั้งยังเป็นจำนวนที่มากเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับภาวะคนว่างงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อปี 2551
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐ คาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานในสหรัฐจะทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 20% ในเดือนเม.ย. และภาวะการว่างงานในสหรัฐครั้งนี้อาจยาวนานใกล้เคียงในยุควิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่หรือเมื่อ 90 ปีก่อน ซึ่งในยุคนั้น อัตราว่างงานมีมากถึง 2 หลัก และกินเวลานานถึง 10 ปี
รัฐแคลิฟอร์เนียครองอันดับ 1 ด้วยจำนวนแรงงานอเมริกันที่ขอใช้สิทธิประโยชน์ช่วงว่างงานในรายสัปดาห์มากถึง 533,600 คน ตามด้วยอันดับ 2 คือ รัฐฟลอริดา และรัฐเท็กซัสอันดับ3
แต่ใช่ว่าจะมีเฉพาะสหรัฐประเทศเดียวที่มีคนตกงานเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ก็มีคนตกงานเพิ่มขึ้นมากเพราะผลกระทบจากโรคโควิด-19ระบาดเช่นกัน
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนเตือนว่า ยอดคนตกงานในหลายประเทศที่รับรู้กันในตอนนี้ ยังไม่ถือว่าเลวร้ายที่สุด!
ต่อมาคืออุตสาหกรรมการบริการที่ปรับตัวลงอย่างมากเพราะมาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆทั่วโลก ผู้คนพากันอยู่บ้าน ไม่ออกไปไหน ร้านค้าปิดทำการ แต่ธุรกิจค้าสินค้าออนไลน์กลับเพิ่มขึ้น เป็นผลดีต่อผู้ค้าปลีกบางแห่ง อย่างเช่น อเมซอน
แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ก็เตือนว่า หลังจากมาตรการล็อกดาวน์ถูกยกเลิก ผู้บริโภคอาจจะไม่หวนกลับมาซื้อสินค้าและบริการอย่างคึกคักเหมือนเดิมอีก เหมือนกรณีธุรกิจค้าปลีกในจีน ที่แม้รัฐบาลจีนเปิดธุรกิจบางส่วนในบางเมืองแล้ว แต่ผู้บริโภคก็ไม่กลับไปซื้อหาสินค้าและบริการเหมือนก่อนหน้าเกิดการระบาดของโรคโควิด-19
“การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนที่ชะลอตัวลงบ่งชี้ว่าผู้บริโภคทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปซื้อสินค้าและบริการอย่างคึกคักเหมือนเก่าเมื่อรัฐบาลแต่ละประเทศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ หรือมาตรการคุมเข้มด้านต่างๆ”นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดให้ความเห็น
ขณะที่ ไอเอชเอส มาร์กิต ระบุว่า อุตสาหกรรมการบริการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19ครั้งนี้ ครอบคลุม ธุรกิจการบริการด้านการคมนาคมขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ การเดินทางและการท่องเที่ยว
ด้านการค้าทั่วโลกนั้น องค์การการค้าโลก(WTO) ยังคงคาดการณ์ว่า ปริมาณการค้าทั่วโลกในปีนี้จะทรุดหนัก ถือเป็นปีที่เลวร้ายอีกหนึ่งปีของการค้าโลก หลังจากปี2562การค้าโลกก็อยู่ในภาวะชะลอตัว โดยปีนี้ ดับเบิลยูทีโอ คาดการณ์ว่าปริมาณการค้าโลกจะร่วงลงประมาณ12.9% หรือ 31.9% ในปีนี้
ส่วนผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรม ที่ช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ถูกกดดันอย่างหนักจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมาปีนี้ กลับได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค "โควิด-19" อย่างรุนแรงอีก
การระบาดของโรคโควิด-19ส่งผลกระทบต่อบรรดาผู้ประกอบการนอกจีนที่พึ่งพาโรงงานในอาเซียนให้ผลิตวัตถุดิบและชิ้นส่วนให้ แต่โรงงานผลิตในจีนปิดสายการผลิตนานกว่าที่คาดเพราะคำสั่งของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสให้ได้
ยิ่งแต่ละประเทศล็อกดาวน์นานเท่าใด บรรดาผู้ประกอบการยิ่งได้รับผลกระทบมากเท่านั้น และหากมีสายป่านไม่ยาวพอ ก็อาจจบลงด้วยการปิดกิจการแบบถาวร