ไม่ต้องเถียงกัน! 'ซักเคอร์เบิร์ก' ซัด 'ทรัมป์' และ 'ทวิตเตอร์' ผิดทั้งคู่

นายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เฟซบุ๊ค สังคมออนไลน์ยอดนิยม ให้สัมภาษณ์รายการ The Daily Briefing ทางช่อง Fox News ในสหรัฐคืนวันพุธ (27 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อถูกถามเกี่ยวกับประเด็นทวิตเตอร์ ไมโครบล็อกชื่อดัง ขึ้นแถบเตือนให้ผู้ใช้งานตรวจสอบทวีตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 2 ครั้งเมื่อวันอังคาร (26 พ.ค.)

ซีอีโอเฟซบุ๊คตอบว่า เฟซบุ๊คมีนโยบายที่แตกต่างกับทวิตเตอร์ และจะไม่เข้าไปตัดสินว่าใครโพสต์เรื่องจริงหรือไม่จริงบนโลกออนไลน์

"ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า เฟซบุ๊คไม่ควรเป็นผู้ชี้ขาดความจริงเกี่ยวกับทุกอย่างที่คนโพสต์ในออนไลน์" นายซักเคอร์เบิร์กแสดงความเห็น "ผมคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว บริษัทเอกชนโดยเฉพาะบริษัทแพลตฟอร์มโซเชียลเหล่านี้ ไม่ควรอยู่ในสถานะที่ทำแบบนั้นได้"

ขณะเดียวกัน นายซักเคอร์เบิร์กยังแสดงความกังวลกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจออกหลักเกณฑ์คุมเข้มบริษัทโซเชียลมีเดีย หลังถูกทวิตเตอร์เซ็นเซอร์ข้อความที่ตนโพสต์

ทำเนียบขาวเผยว่า ผู้นำสหรัฐจะลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในวันพฤหัสบดี (28 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เพียงวันเดียวหลังเขากล่าวหาว่า ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค และผู้บริหารรายอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ พยายามปิดปากการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายอนุรักษนิยม

อย่างไรก็ตาม ซีอีโอเฟซบุ๊คกล่าวในรายการทาง Fox News ว่า หากรัฐบาลออกมาตรการเล่นงานหรือคุมเข้มแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วยข้อกล่าวหาว่าปิดปากฝ่ายอนุรักษนิยม ก็อาจเกิดผลลัพธ์ตรงกันข้าม

"ผมอาจต้องรู้ก่อนว่ารัฐบาลตั้งใจจะดำเนินการอะไรกันแน่ แต่โดยทั่วไปแล้ว ผมคิดว่ารัฐบาลใดก็ตามที่เลือกเซ็นเซอร์แพลตฟอร์มเพราะกังวลเรื่องการถูกตรวจสอบ ไม่ใช่การตอบสนองที่ถูกต้อง"

จุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่างผู้นำสหรัฐกับบริษัทโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นหลังจากทวิตเตอร์แสดง "แถบข้อความเตือน" ใต้การทวีต 2 ครั้งของนายทรัมป์เมื่อวันอังคาร ซึ่งเขาทวีตว่า การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทางไปรษณีย์อาจนำไปสู่การทุจริตเลือกตั้ง

การดำเนินการของทวิตเตอร์ ถือเป็น "ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ" ที่หนึ่งในสื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ "เซ็นเซอร์" การใช้งานของนายทรัมป์ ซึ่งมีผู้ติดตามผ่านทวิตเตอร์กว่า 80 ล้านราย

หลังจากนั้น นายทรัมป์กล่าวหาทวิตเตอร์ว่า "ลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" และ "แทรกแซง" การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นปลายปีนี้