ถึงเวลา 'สินค้ามือ 2' ครองตลาด
วิกฤติโควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงเพียงใด แต่สำหรับตลาดสินค้ามือ 2 ที่มีมูลค่าราว 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ กลับยังแรงไม่หยุด จากปีก่อนที่ตลาดนี้มีทิศทางการเติบโตที่เร็วกว่าตลาดค้าปลีกถึงสองเท่า ทำให้เห็นภาพว่าการขายต่อกำลังมา แต่คำถามคือใครชนะ ใครแพ้
ในยุคการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ใครๆ ก็มีรายได้ลดลง จะซื้อจะหาข้าวของมาใช้ต้องคำนึงถึงความประหยัด โควิด-19 พลิกโฉมอุตสาหกรรมเสื้อผ้าไปมากมาย ทั้งยังบั่นทอนยอดขาย แต่คาดว่าตลาดเสื้อผ้ามือสองจะแรงไม่หยุด
รายงานประจำปีของ “เทร็ดอัพ” เว็บขายเสื้อผ้าใช้แล้วออนไลน์ใหญ่สุดของโลก ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัทวิจัย “โกลบอลดาตารีเทล” ประเมินว่า ทุกวันนี้ตลาดเสื้อผ้ามือสองมีมูลค่าราว 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้ามูลค่าจะทะลุ 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์
ปีที่แล้วตลาดสินค้ามือสองโตเร็วกว่าตลาดค้าปลีกโดยรวมถึง 25 เท่า ประเมินว่าในปี 2562 ประชาชน 64 ล้านคนใช้สินค้ามือสอง
เจมส์ ไรน์ฮาร์ต ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เทร็ดอัพ ระบุ “การขายต่อกำลังมา คำถามคือใครชนะใครแพ้”
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องความสะอาดก็น่าห่วง ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่า ผู้บริโภคอาจรามือจากการซื้อสินค้าใช้แล้วเพราะกังวลเรื่องโควิด-19 และการแพร่เชื้อ บางคนกังวลว่าเชื้ออาจจะอยู่ในเสื้อผ้า แต่ไรน์ฮาร์ตแจ้งว่า จากข้อมูลที่มียังไม่พบว่าลูกค้ากลัวโควิดแต่อย่างใด เขาให้เหตุผลว่า ข่าวสารต่างๆ นานาว่าด้วยการติดไวรัสได้ให้การศึกษาแก่ผู้บริโภคไปในตัวว่าไม่มีการติดต่อผ่านเสื้อผ้า เหมือนกับเมื่อตอนเริ่มระบาดทุกคนต่างกังวล เรื่องซื้ออาหารกลับบ้าน ตอนนี้รู้แล้วว่าปลอดภัย
"ผู้บริโภคฉลาดในเรื่องสินค้าเหล่านี้” ซีอีโอเทร็ดอัพกล่าวอย่างเชื่อมั่น บริษัทนี้มีฐานปฏิบัติการในซานฟรานซิสโก มีเว็บไซต์และร้านค้าของตนเองจำนวนหนึ่ง เปิดให้ผู้บริโภคซื้อขายสินค้าใช้แล้ว โดยเรียกตนเองว่าเป็น “ร้านค้าย่อมเยาออนไลน์ใหญ่สุดของโลก” จากนั้นบริษัทก็ยิ่งถูกจับตาเมื่อได้เป็นพันธมิตรกับห้างค้าปลีกใหญ่อย่างเมซีส์ วอลมาร์ท และแก็ป ซึ่งดูเหมือนว่าใครๆ ก็อยากได้ส่วนแบ่งจากพายชิ้นนี้
“คนหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้ฉลาด รู้ว่าฟาสต์แฟชั่นสิ้นเปลืองแค่ไหน หลายปีมาแล้วที่ผมพยายามชักจูงห้างค้าปลีกให้คิดถึงเรื่องนี้” ไรน์ฮาร์ตกล่าวต่อ
ตามรายงานดังกล่าว ภายในปี 2572 สินค้ามือสองจะครองพื้นที่ 17% ของตู้เสื้อผ้า เพิ่มขึ้นจาก 3% ในปี 2552 เป็นรองจากการซื้อสินค้าจากร้านเอาต์เล็ตลดราคาอย่าง ทีเจแม็กซ์ ที่ครองพื้นที่ 19% ส่วนสินค้าจากห้างสรรพสินค้าจะครองพื้นที่ตู้เสื้อผ้า 7% ลดลงจาก 22% ในปี 2552
“พวกห้างทั้งหลายรู้ดีว่า ส่วนแบ่งของพวกตนจะหายไปถ้าไม่รีบไปจับเสน่ห์สินค้ามือสอง โดยเฉพาะเสื้อผ้าเอาไว้ให้ได้ ห้างจึงมองมาที่เราเพื่อให้เป็นตัวช่วยเล็กๆ” ไรน์ฮาร์ตกล่าว
และในช่วงที่อัตราการว่างงานในสหรัฐก็พุ่งสูงท่ามกลางการแพร่ระบาด จึงเป็นไปได้ว่าผู้บริโภคที่ช้อปปิ้งภายใต้งบประมาณจำกัดมีจำนวนมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เทร็ดอัพและโกลบอลดาตาคาดการณ์ว่า ตลาดสินค้ามือสอง ธุรกิจแฟชั่นของอเมซอน และร้านค้าปลีกลดราคากระหน่ำเป็นธุรกิจเสื้อผ้าเพียง 3 ภาคส่วนเท่านั้นที่จะได้ลูกค้าใหม่ในปีนี้