เศรษฐีอินเดียรวยแซงจีนเหตุปักกิ่งปราบปรามบ.เทคโนโลยี
เศรษฐีอินเดียรวยแซงจีนเหตุรัฐบาลปักกิ่งปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ขณะข้อมูลล่าสุดบ่งชี้บริษัทอินเดีย 15 แห่งระดมทุนได้ 1,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก และมี 10 บริษัทจากทั้งหมดกลายเป็นบริษัทยูนิคอร์นในปี 2564
ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 ที่รัฐบาลประเทศต่างๆกำลังวุ่นวายกับการรับมือและหาทางสกัดกั้นการระบาดให้ได้มากที่สุดนั้น ในแวดวงธุรกิจ มหาเศรษฐีระดับพันล้านชาวอินเดียกลับมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นแซงบรรดาเศรษฐีพันล้านชาวจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เนื่องจากการปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของรัฐบาลจีนนั่นเอง
ดัชนีมหาเศรษฐีพันล้านของบลูมเบิร์ก (Bloomberg Billionaires Index)ระบุว่า "มูเกช อัมบานิ" ผู้บริหารรีไลอันซ์ อินดัสตรีส์ กลุ่มบริษัทโทรคมนาคมและพลังงานของอินเดียและถือเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชีย มีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้น 11% ในปีนี้เป็น 85,100 ล้านดอลลาร์ นับจนถึงวันอังคาร(22มิ.ย.) ทำให้อัมบานิ ติดอันดับที่ 12 ของมหาเศรษฐีพันล้านโลก แซงหน้า"แจ็ค หม่า" ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ของจีน
ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ“กัวตัม อะดานิ” ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทอะดานิ กรุ๊ป เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากต้นปี 2564 เป็น 65,900 ล้านดอลลาร์ ทำให้ติดอันดับที่ 15 ในทำเนียบมหาเศรษฐีพันล้านของโลก
มหาเศรษฐีพันล้านของอินเดียทั้งสองคนมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการที่ตลาดหุ้นอินเดียอยู่ในช่วงภาวะกระทิงเพราะได้แรงหนุนจากข่าวเกี่ยวกับยอดผู้เสียชีวิตเพราะโรคโควิด-19ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าท้ายที่สุดแล้วเศรษฐกิจของประเทศจะพลิกฟื้นกลับมาเหมือนเดิม
ยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในอินเดียเริ่มเพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค.และยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 400,000 รายต่อวันในช่วงต้นเดือนพ.ค.ขณะที่ยอดรวมผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันลดลงเหลือประมาณ 50,000 ราย และยังคงมีการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่
ขณะที่ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียเปิดตลาดวานนี้ (23มิ.ย.)ปรับตัวขึ้น ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชียซึ่งปรับตัวขึ้นในช่วงเช้า หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้คำมั่นว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป
ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดีย เปิดตลาดที่ 52,912.35 จุด เพิ่มขึ้น 323.64 จุด หรือ +0.66% หุ้นมารูติ ซูซูกิปรับตัวขึ้น 1.42%, หุ้น อัลตร้าเทค เคม เพิ่มขึ้น 1.17% และหุ้นซัน ฟาร์มาเพิ่มขึ้น 0.08%
รายงานดัชนีมหาเศรษฐีพันล้านของบลูมเบิร์ก ระบุว่า มหาเศรษฐีพันล้านชาวจีนอย่างโพนี หม่า ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)บริษัทเทนเซนต์ โฮลดิงส์ มีสินทรัพย์น้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนที่ไม่ต้องการให้บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำดำเนินธุรกิจแบบผูกขาดตลาดซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มผลประกอบการและผลกำไรของบริษัทเหล่านี้
สินทรัพย์สุทธิของโพนี่ หม่าเพิ่มขึ้นแค่ 5% ในปีนี้ ขณะที่แจ็ค หม่า ความมั่งคั่งหายไป 2,000 ล้านดอลลาร์แต่ไม่ใช่แค่เศรษฐีพันล้านอินเดียรวยกว่าเศรษฐีจีนเท่านั้น แต่ขณะนี้บริษัทยูนิคอร์นของอินเดีย ก็มีจำนวนมากขึ้นและระดมทุนได้กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สะท้อนให้เห็นว่า บรรดานักลงทุนสนใจเข้าลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพอินเดียมากขึ้นขณะที่การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคพึ่งพาการบริการดิจิทัลมากขึ้น
ข้อมูลจากซีบี อินไซต์ และนิกเคอิ เอเชีย ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา บริษัทอินเดีย 15 แห่งระดมทุนได้ 1,000 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่าได้เป็นครั้งแรก และมีบริษัท10แห่งจากทั้งหมดกลายเป็นบริษัทยูนิคอร์นในปี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกันกับจีน มีเพียง 2 จาก 16 บริษัทจีนที่เป็นบริษัทยูนิคอร์นในปีดังกล่าว
ยูนิคอร์นเลือดใหม่ของอินเดียส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจออนไลน์เพียงอย่างเดียวซึ่งได้ประโยชน์จากการมีลูกค้าจำนวนมากและธุรกิจที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามเพราะการระบาดของโรคโควิด-19
ขณะที่บรรดานักลงทุนต่างจับตามองว่าบริษัทสตาร์ทอัพเหล่านี้จะรักษาอัตราการเติบโตของธุรกิจไปได้ตลอดหรือไม่ในช่วงที่รัฐบาลอินเดียกำลังรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19ระลอกที่2 และยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเป็นวันละ3แสนราย นับตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.ถือเป็นยอดผู้ป่วยรายใหม่สูงที่สุดในโลก
สตาร์ทอัพรายอื่นของอินเดียที่กลายเป็นยูนิคอร์นไปแล้ว รวมถึง ชาร์จบี(Chargebee)ซึ่งขายซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้บริษัทต่างๆบริหารจัดการระบบสมาชิกของบริษัท ,มีโช (Meesho)ตลาดออนไลน์สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการขายสินค้าในสื่อโซเชียล ,เครด (Cred)ซึ่งให้แต้มรางวัลแก่บรรดาผู้ใช้บัตรเครดิตที่จ่ายเงินค่าสินค้าและบริการตรงตามกำหนด
ชาร์จบี มีสำนักงานในเมืองเชนไนและที่นครซานฟรานซิสโก กล่าวว่า มีลูกค้าประมาณ 3,500 คนและส่วนใหญ่มาจากสหรัฐ และยุโรป ซึ่งหลังจากระดมทุนได้ 125 ล้านดอลลาร์ บริษัทก็มีแผนขยายธุรกิจเข้าไปยังตลาดเอเชียหลายตลาด รวมทั้งญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม แม้อินเดีย ยังตามหลังจีนอยู่มากในเรื่องของขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลแต่รายงานชิ้นนี้ของเว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย ก็มองว่า อินเดียวิ่งตามจีนทันแน่นอน
บรรดานักลงทุนส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ที่เป็นแบบนี้เพราะอินเดียมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลเมื่อปี 2559 ที่เปิดตัว“ยูนิไฟด์ เพย์เมนท์ส อินเทอร์เฟซ” (ยูพีไอ)ระบบชำระเงินแบบเรียลไทม์ที่สามารถโอนเงินระหว่างธนาคารได้ในทันที
บริษัทเพื่อการชำระเงินแห่งชาติของอินเดีย ระบุว่า ปัจจุบัน ชาวอินเดียส่วนใหญ่ใช้บริการจ่ายเงินทางออนไลน์กับยูพีไอและในเดือนมี.ค.ทำธุรกรรมทางการเงินกับยูพีไอคิดเป็นมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านรูปี (66,700 ล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากปีก่อนหน้า