บีเอชพีปรับตัวรับดีมานด์อีวีโตต่อเนื่อง
บีเอชพีปรับตัวรับดีมานด์อีวีโตต่อเนื่อง ขณะที่ทั่วโลกพยายามผลักดันให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกให้น้อยที่สุด
บีเอชพี กรุ๊ป กลุ่มบริษัทพลังงานอังกฤษ-ออสเตรเลีย เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (16ส.ค.)ว่ากำลังอยู่ระหว่างเจรจาขายธุรกิจน้ำมันให้แก่นักลงทุนที่สนใจในวงเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)ขณะที่ทั่วโลกพยายามผลักดันให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกให้น้อยที่สุด
“บีเอชพีกำลังทบทวนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจพลังงานน้ำมันในปัจจุบันและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจระยะยาวโดยรวมให้สอดคล้องกัน ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่บริษัทจะดำเนินการคือการควบรวมธุรกิจน้ำมันกับวู้ดไซด์ ปิโตรเลียม และกระจายหุ้นของวู้ดไซด์ไปให้แก่บรรดาผู้ถือหุ้นบีเอชพี” แถลงการณ์ของบีเอชพี ระบุ
วู้ดไซด์ ซึ่งมีฐานดำเนินงานในออสเตรเลีย ก็ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันอย่างสร้างสรรค์เพื่อทำข้อตกลงสำคัญนี้
ธุรกิจก๊าซและน้ำมันของบีเอชพี ที่ครอบคลุมถึงสินทรัพย์ในออสเตรเลีย ในอ่าวเม็กซิโก ในทรินิแดดและในโทบาโก สร้างรายได้ 4,070 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.5% ของรายได้โดยรวมสำหรับปีงบการเงินที่สิ้นสุดในเดือนมิ.ย.ปี 2563 ส่วนรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ,ภาษี ,ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย(อีบีไอทีดีเอ) อยู่ที่ 2,270 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 10% ของรายได้โดยรวมของบริษัท
บีเอชพีขายธุรกิจพลังงานที่ใช้ฟอสซิลมาตั้งแต่ปี 2561 โดยในปีดังกล่าว บริษัทขายเชลก๊าซในอเมริกาเหนือและธุรกิจน้ำมันให้หน่วยงานในเครือบริษัทบีพีในวงเงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ต่อมาในปี 2562 แอนดรูว์ แมคเคนซีย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)ในขณะนั้นส่งสัญญาณว่ามีแผนนำพาบริษัทออกจากธุรกิจพลังงานที่ใช้ถ่านหิน
โดยให้เหตุผลว่า“ไม่ใช่ธุรกิจที่มีอนาคต ที่ช่วยนำความเติบโตมาให้บริษัทและไม่ช่วยให้บริษัทแข่งขันกับหน่วยงานอื่นในเครือบีเอชพีในการหาแหล่งเงินทุนได้”
ความคืบหน้าล่าสุดในการขายธุรกิจพลังงานมีขึ้นหลังจากบีเอชพี ประกาศเมื่อเดือนมิ.ย.ว่าจะขายหุ้นในเหมืองถ่านหินเคอร์เรจอน
(Cerrejon) ในโคลอมเบียให้แก่เกลนคอร์ นอกจากนี้ ยังเจรจาเพื่อขายเมาท์ อาร์เธอร์(Mount Arthur) ซึ่งเป็นเหมืองถ่านหินเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่และเมื่อขายเมาท์ อาร์เธอร์แล้ว ธุรกิจเหมืองถ่านหินของบีเอชพีจะมีขนาดเล็กลง มีสัดส่วนประมาณ 15%ของรายได้โดยรวม
“หลังจากรอมานานมากเพื่อจะแตกธุรกิจออกไปเป็นธุรกิจอย่างอื่น นอกเหนือจากธุรกิจเหมืองถ่านหิน ตอนนี้บีเอชพี รู้แล้วว่าควรรีบออกจากธุรกิจพลังงานน้ำมันให้เร็วขึ้นจะดีกว่า การขายหุ้นในวู้ดไซด์อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของบริษัทที่จะลดพอร์ทลงทุนที่เป็นสินทรัพย์น้ำมันทั้งหมด”ซาอูล คาโวนิก นักวิเคราะห์จากเครดิต สวิส ให้ความเห็น
นอกจากขายธุรกิจพลังงานน้ำมันแล้ว บีเอชพี ยังหันไปเน้นทำธุรกิจนิกเกิ้ลที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั้งคัน(อีวี) โดยเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทประกาศแผนที่จะจัดหานิกเกิ้ลจากเหมืองในภาคตะวันตกของออสเตรเลียโดยไม่ระบุจำนวนให้แก่เทสลา ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่สุดของโลก
“คาดว่าความต้องการนิกเกิ้ลเพื่อนำไปทำแบตเตอร์รีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 500% ในช่วง10ปีข้างหน้าเพราะมาตรการของประเทศต่างๆทั่วโลกที่สนับสนุนให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น”แวนดิตา แพนท์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของบีเอชพี กล่าว
เมื่อวันที่ 27 ก.ค.บีเอชพี ประกาศแผนซื้อโนรอนท์ รีซอร์สเซส บริษัทเหมืองในแคนาดา วงเงิน 325 ล้านดอลลาร์แคนาดา (259 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)และเข้าครอบครองสินทรัพย์นิกเกิ้ลในเวสเทิร์น ออสเตรเลียจากนอริลสก์ นิกเกิ้ล บริษัทเหมืองนิกเกิ้ลสัญชาติรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว
การเคลื่อนไหวของบีเอชพี มีขึ้นหลังจากคู่แข่งสำคัญอย่างริโอ ตินโตถอนตัวจากธุรกิจถ่านหินเมื่อปี 2561 ส่วนบริษัทเหมืองชั้นนำของออสเตรเลียอย่างฟอร์ทส์คิว มีทัล กรุ๊ป (Fortescue Metals Group)เริ่มที่จะผลิตและสำรวจก๊าซไฮโดรเจนเร็วที่สุดภายในปี 2566
บีเอชพี ตั้งเป้าที่จะหันไปทำธุรกิจนิกเกิ้ลเต็มตัวเนื่องจากเป็นสินค้าโภคภัณฑ์แห่งอนาคตที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคตแก่ธุรกิจของบริษัทได้ในยุคที่อุตสาหกรรมทุกอุตสาหกรรมทั่วโลกพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์