อ่านเกม "สหรัฐ" วางหมากการทูตรุกอำนาจ "จีน"

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า การทูตเชิงต่อสู้ถูกนำมาใช้กับจีน นับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการบริหารภายใต้รัฐบาลไบเดน เพราะเชื่อว่า การมีส่วนร่วมโดยตรงกับผู้นำจีน ซึ่งเป็นผู้รวมศูนย์อำนาจปักกิ่งไว้ แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่สมัยเหมา เจ๋อตุง จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก

แหล่งข่าวที่คุ้นเคยในเรื่องนี้ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากข้อจำกัดด้านโควิด-19 ภายในประเทศจีน และความลังเลใจของประธานาธิบดีสี ทำให้วอชิงตันตั้งเป้าที่จะจัดการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ระหว่างไบเดน กับสี ในเดือนพฤศจิกายนนี้ แม้ว่าแผนต่างๆ จะอยู่ระหว่างการประสานงาน

มีแนวโน้มว่า จะยังไม่กำหนดวาระการประชุมร่วมกัน จนกว่าการหารือจะแล้วเสร็จ รวมถึงประเด็นการพบปะในระหว่างการประชุมสุดยอดกลุ่ม 20 ประเทศในกรุงโรมในสัปดาห์หน้า และการประชุมด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติ ครั้งที่ 26 ในเมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร

ปธน.ไบเดน จะเข้าร่วมทั้งสองเวที ส่วนปธน.สี ซึ่งไม่เดินทางออกจากจีน นับตั้งแต่ช่วงต้นของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้คาดว่า สีจะไม่เดินทางเข้าร่วมเวทีนี้ 

อ่านข่าว : "สหรัฐ-จีน" หารือทบทวนประเด็นการค้า เฟสแรก

การเดิมพันในระหว่างการพบปะกันระหว่างสองมหาอำนาจค่อนข้างสูง ทั้งสหรัฐและจีนขัดแย้งหลายประเด็น ตั้งแต่เรื่องต้นตอการแพร่ระบาดโควิด ไปจนถึงคลังอาวุธนิวเคลียร์ที่กำลังขยายในหลายพื้นที่ ทำให้ทีมบริหารของไบเดน ตั้งความหวังไว้ต่ำ และไม่เจาะจงผลลัพธ์การประชุมเรื่องใดเรื่องหนึ่ง รวมทั้งปฏิเสธที่จะพูดถึงวาระการประชุมอีกด้วย

แหล่งข่าวที่ไม่อาจเปิดเผยชื่อ กล่าวว่า การประชุมมีความสำคัญในตัวเองอยู่แล้ว และหวังว่า จะนำมาซึ่งความมั่นคง และมีผลต่อการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว

นางซูซาน ธอร์นตัน อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการต่างประเทศ ดูแลกิจการภูมิภาคเอเชียของสหรัฐ กล่าวว่า การพบปะระหว่างสองผู้นำมหาอำนาจจะช่วยซ่อมแซมช่องว่างการสื่อสาร และ “ความสัมพันธ์ที่อยู่ในช่วงขาลง” ของสหรัฐกับจีน 

นับตั้งแต่เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เกิดขึ้นสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาจนถึงตอนนี้ ทีมผู้บริหารของไบเดนกำลังพลิกบทบาทใหม่ โดยทำให้เห็นว่า สหรัฐกำลังรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ต่อจีน หลังจากที่ไบเดนและสีได้โทรศัพท์หารือกันเมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา นับเป็นจุดเริ่มต้นของการมีปฏิสัมพันธ์ของสองผู้นำมหาอำนาจ

ปธน.ไบเดน เปลี่ยนนโยบายสหรัฐที่มีต่อจีน ในสมัยอดีตปธน.ทรัมป์ และมาใช้กลยุทธ์ในการระดมพันธมิตรและหุ้นส่วนในยุโรปและเอเชียเพื่อเพิ่มอำนาจเหนือปักกิ่ง

อย่างที่เห็นหลังการประชุมที่รัฐแอลาสกา แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้กล่าวย้ำอีกครั้งในกรุงบัสเซลส์ว่า สหรัฐจะไม่บังคับประเทศพันธมิตรนาโต เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระหว่างวอชิงตันและปักกิ่ง

อย่างไรก็ตาม นักการทูตจากประเทศในเอเชียรายหนึ่งกล่าวว่า “ทุกคนทั่วโลกต่างกังวลเล็กน้อย” เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนที่กำลังมุ่งไปข้างหน้า เกินกว่าคาดการณ์ได้