อียูเจรจาเมอร์ค-ไฟเซอร์ หวังทำสัญญาซื้อยาโมลนูพิราเวียร์-แพกซ์โลวิด
แหล่งข่าวในสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยว่าอียูกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ เกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อยารักษาโรคโควิด-19 คือยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดของบริษัททั้ง 2
ไฟเซอร์แถลงเมื่อวันศุกร์ (5พ.ย.)ว่า ผลการทดลองสำหรับยาแพกซ์โลวิด พบว่า ยาดังกล่าวสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 50%
อย่างไรก็ดี การเจรจาระหว่างอียูและเมอร์คมีความคืบหน้ามากกว่า เนื่องจากเมอร์คได้ยื่นข้อมูลเกี่ยวกับยาโมลนูพิราเวียร์ให้แก่องค์การยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) เมื่อเดือนต.ค. ในขณะที่ไฟเซอร์ยังไม่ได้ยื่นข้อมูลแต่อย่างใด หลังจากที่เพิ่งเปิดเผยผลการทดลองในเบื้องต้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ อียูได้หารือกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกี่ยวกับการซื้อยารักษาโควิด-19 จากทั้งเมอร์คและไฟเซอร์โดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน
ส่วนผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีโดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน