ดาวโจนส์พุ่ง 214 จุด-ปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 2 ทุบนิวไฮครั้งใหม่
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(4ม.ค.)ปรับตัวขึ้น 214 จุดติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในวันนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 214.59 จุดหรือ 0.5% ปิดที่ 36,799.65 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลง 0.06% ปิดที่ 4,793.54 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วง 1.3% ปิดที่ 15,622.72 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุด แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในการซื้อขายเมื่อวันจันทร์(3ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยง หลังคลายความวิตกเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
หลังผลการวิจัยบ่งชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตและต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้รัฐบาลของหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
หุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น สายการบินและธุรกิจเรือสำราญ ต่างดีดตัวขึ้นในการซื้อขายวันนี้ แม้มีรายงานว่าสหรัฐมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่มากกว่า 1 ล้านรายวานนี้
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นเช่นกัน สอดคล้องกับการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
เจพีมอร์แกน เชส ออกรายงานล่าสุดในวันนี้ระบุว่า "ตลาดหุ้นยังคงมีอัพไซด์ แม้ว่าที่ผ่านมาได้ทะยานขึ้นมากแล้ว ขณะที่ไวรัสโอมิครอนมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ และเราคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะยังคงเพิ่มขึ้น โดยพุ่งขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้"
ก่อนหน้านี้ เจพีมอร์แกนออกรายงานระบุว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นในปีนี้ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยุติลง โดยสายพันธุ์โอมิครอนจะเข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดลตา ส่งผลให้โควิด-19 กลายเป็นเพียงโรคประจำฤดูกาล
นักลงทุนจับตาตัวเลขภาคการผลิตของสหรัฐในวันนี้ รวมทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งหากออกมาแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็อาจจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้