มองแง่ดี “โลก” มีระบาดสายพันธุ์โอมิครอน
นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐ ทำการศึกษาสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในแง่มุมที่แตกต่าง ชี้ให้เห็นประโยชน์การฉีดวัคซีน และแนวโน้มการกลายพันธุ์ในอนาคต หวังอเมริกันได้ปรับตัวอยู่ร่วมกับโควิด
วิลเลียม ฮาเนจ รองศาสตราจารย์ด้านโรคระบาดวิทยาและผู้อำนวยฝ่ายประสานงานของศูนย์พลวัตโรคติดต่อของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิเคราะห์ลงนิตยสารไทมส์วันที่ 10 ก.พ.2565 ว่า ในช่วง 2 - 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดความรู้สึกใหม่ที่มีต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน นั่นคือการมองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวัง เมื่อได้เห็นการเพิ่มขึ้นของไวรัสชนิดนี้ได้ตอกย้ำถึงประสิทธิภาพวัคซีนในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ หลายประเทศเร่งรีบประกาศออกไปว่าสายพันธุ์โอมิครอนมีฤทธิ์รุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา แต่ก่อนจะด่วนสรุปขอให้รู้ว่าไวรัสที่ไม่รุนแรง มีส่วนสำคัญทำให้สหรัฐมีผู้เสียชีวิตกว่า 15,000 รายในช่วงสัปดาห์ก่อน และทำให้บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจำนวนมาก ต้องแยกกักตัว ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ
"ต้องบอกว่า สายพันธุ์โอมิครอนทำให้สหรัฐมีผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือน พ.ย.2564 ซึ่งพบการระบาดของโอมิครอนครั้งแรก หรือมากถึง 10 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์เดลตา" ฮาเนจ ระบุ
เนื่องจากโอมิครอนค่อนข้างสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี และสามารถติดเชื้อซ้ำในผู้ป่วยโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ อย่างน้อยที่สุดผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอนก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันด้วยตนเองขึ้นมาได้ ทำให้อัตราผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาอื่นๆ คือ
ประการแรก ลดความเสี่ยงติดเชื้อโอมิครอนในกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ถึง 70% เมื่อเทียบกับผู้ไม่ฉีดวัคซีน
ประการที่สอง เมื่อเปรียบเทียบอาการของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ต่างๆ ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์โอมิครอนรุนแรงน้องกว่าเดลตา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้มีอายุมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งข้อมูลนี้สร้างความสบายใจมากขึ้น
ประการที่สาม ผู้ที่ฉีดวัคซีนจะมีโอกาสแพร่เชื้อโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ได้น้อยกว่า รวมถึงโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ดูเหมือนว่า BA.2 จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ BA.1 และยัง BA.2 สามารถหลีกเลี่ยงการป้องกันของวัคซีนได้ดีกว่า BA.1 แต่ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนมีโอกาสน้อยที่จะแพร่เชื้อในครอบครัว ตามผลศึกษาของเดนมาร์กล่าสุด
โปรดจำไว้ว่า อัตราการฉีดวัคซีน 80% เป็นสิ่งที่ “ไม่เกือบดี” เมื่อเทียบกับ 90% ในทางตรงกันข้าม มันเลวร้ายเป็นสองเท่าที่จะปล่อยให้ 20% แทนที่จะเป็น 10% นั่นหมายถึงการฉีดวัคซีนไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไร โดยเฉพาะในประเทศขนาดใหญ่อย่างในสหรัฐ เนื่องจาก 10% คิดเป็นจำนวนคนในวัยผู้ใหญ่ประมาณ 20 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ฮาเนจมองว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ยังมีโอกาสจะกลายพันธุ์อื่นๆ และทำให้เสียชีวิตไม่มากก็น้อย ซึ่งการแพร่กระจายเชื้อที่ขยายขอบเขตมากขึ้นเท่าก็เป็นสิ่งยืนยันว่า ทั่วโลกยังมีโอกาสได้เห็นสายพันธุ์หลากหลาย ขณะเดียวกันเราหวังให้ทุกคนได้รับวัคซีนเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลที่ตามมาจะไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม