เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ครั้งแรกตั้งแต่ปี61 หนุนดาวโจนส์บวก 518 จุด

เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ครั้งแรกตั้งแต่ปี61 หนุนดาวโจนส์บวก 518 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ(16มี.ค.)ปรับตัวขึ้น 518 จุด โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดีดตัวขึ้นต่อเนื่องจากวานนี้ หลังจากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่ปี2561

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 518.76 จุด หรือ 1.55% ปิดที่ 34,063.10 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 95.41 จุด หรือ 2.24% ปิดที่ 4,357.86 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 487.93 จุด หรือ 3.77% ปิดที่ 13,436.55 จุด

ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทุกกลุ่ม นำโดยกลุ่มธนาคาร

ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นเกือบ 600 จุดเมื่อวันอังคาร(15มี.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังราคาน้ำมันร่วงลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ของสหรัฐขยายตัวต่ำกว่าคาด

 นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย ต่างส่งสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพ
 

"การทำข้อตกลงกับรัสเซียในการยุติสงครามในยูเครนเริ่มใกล้ความจริงมากขึ้น เราต่างก็ต้องการสันติภาพ และยังจำเป็นต้องใช้ความพยายามในการยุติสงคราม โดยผู้แทนการเจรจาของเราต้องใช้ความอดทนและต้องทำงานหนัก สิ่งนี้เป็นเรื่องยาก แต่มีความสำคัญ เพราะสงครามใดๆ ก็ต้องจบลงที่การทำข้อตกลง โดยการประชุมจะยังคงดำเนินไป และผมได้ยินมาว่าจุดยืนในการเจรจาเริ่มใกล้ความจริงมากขึ้น แต่เรายังต้องใช้เวลาในการตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ของยูเครน" ปธน.เซเลนสกีกล่าว

ถ้อยแถลงของปธน.เซเลนสกีสอดคล้องกับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งแสดงความหวังต่อการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน

"ผมมองเห็นความหวังที่รัสเซียและยูเครนจะสามารถประนีประนอมในการเจรจาสันติภาพ มีการหารือกันอย่างจริงจังในประเด็นที่ยูเครนต้องมีสถานะเป็นประเทศเป็นกลาง รวมทั้งประเด็นด้านความมั่นคงอื่นๆ โดยทั้งสองฝ่ายกำลังใกล้ได้ข้อตกลงเกี่ยวกับสูตรบางอย่างแล้ว" นายลาฟรอฟ กล่าว

ทั้งนี้ การเจรจาสันติภาพรอบที่ 4 ระหว่างยูเครนและรัสเซียจะดำเนินต่อไปเป็นวันที่ 3 ในวันนี้ หลังจากที่การเจรจา 2 วันก่อนหน้านี้ได้ยุติลงโดยไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด

ด้านคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุมในวันพุธ(16มี.ค.) ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งๆละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งหมายความว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมทุกครั้งหลังจากนี้ และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00% ในช่วงปลายปี

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2023 แต่จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2024

ถ้อยแถลงของเฟดระบุว่า สงครามในยูเครนและการแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งในระยะใกล้ ปัจจัยดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และเป็นปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจ แต่การปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นเรื่องที่มีความเหมาะสมในการสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี