อนามัยโลกชี้หลายปัจจัยดันเคสโควิดเพิ่มอีกรอบ

องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) แถลงเมื่อวันอังคาร (15 มี.ค.) หลังจากการติดเชื้อโควิด-19 ลดลงกว่าหนึ่งเดือน สัปดาห์ก่อนเริ่มเพิ่มขึ้นทั่วโลก ถึงขนาดต้องมีการล็อกดาวน์ในเอเชีย เมื่อมณฑลจี๋หลินของจีนกำลังสกัดการระบาดระลอกใหม่

การติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น สายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่ติดง่าย การยกเลิกมาตรการสาธารณสุขและมาตรการควบคุมการเข้าสังคม บางประเทศลดการตรวจหาเชื้อ บางประเทศอัตราการฉีดวัคซีนต่ำส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้ข้อมูลเท็จ

นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการดับเบิลยูเอชโอกล่าวว่า จากปัจจัยทั้งหมดเท่ากับว่าตัวเลขการติดเชื้อที่เห็นเป็นเพียงยอดผู้เขาน้ำแข็งเท่านั้น

ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ระหว่างวันที่ 7-13 มี.ค. มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11 ล้านคน เสียชีวิตเพิ่ม 43,000 คนเศษ เพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นเดือน ม.ค. ที่เพิ่มมากสุดคือภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกของดับเบิลยูเอชโอ ที่รวมถึงเกาหลีใต้และจีน ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 25% เสียชีวิตเพิ่ม 27%

แอฟริกามีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 12% เสียชีวิตเพิ่ม 14% ยุโรปติดเชื้อเพิ่ม 2% เสียชีวิตไม่เพิ่ม ภูมิภาคอื่นๆ รายงานการติดเชื้อลด เช่น เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก แต่พื้นที่นี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 38% เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อพุ่งสูงครั้งก่อน

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งกังวลว่ายุโรปอาจเจอคลื่นการระบาดระลอกใหม่ เมื่อผู้ติดเชื้อในออสเตรีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นตั้งแต่เริ่มเดือนมี.ค.

นางมาเรีย แวน เคอร์คอฟ จากดับเบิลยูเอชโอแถลงว่าBA.2 ดูเหมือนเป็นสายพันธุ์ติดต่อง่ายที่สุดจนถึงขณะนี้ แต่ไม่มีสัญญาณว่าจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยรุนแรง และไม่มีหลักฐานว่ามีสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นเหตุให้การติดเชื้อเพิ่มสูง

ทั้งนี้ สภาพการณ์ในยุโรปยังแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เดนมาร์กมีผู้ติดเชื้อสูงสุดครู่หนึ่งช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.พ. ผลจาก BA.2 และสงบลงอย่างรวดเร็ว แต่ผู้เชี่ยวชาญเริ่มเตือนว่าเร็วๆ นี้สหรัฐอาจเจอคลื่นโควิดอย่างที่เกิดขึ้นในยุโรป เป็นไปได้ว่าจากสายพันธุ์ BA.2 การยกเลิกข้อจำกัด และภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ฉีดไปหลายเดือนก่อนลดลง

“ดิฉันเห็นด้วยกับการผ่อนคลายข้อจำกัด เพราะสองปีแล้วเราจะมาคิดว่าโควิดเป็นเรื่องฉุกเฉินอีกไม่ได้ แต่เราจะต้องไม่คิดว่าไม่มีโควิดอีกแล้ว ดังนั้นมาตรการที่จำเป็นก็ต้องปฏิบัติต่อไปอย่างเข้มงวด เช่น จับตาและตามรอยโรคอย่างต่อเนื่อง บังคับสวมหน้ากากในอาคารหรือสถานที่ที่มีคนหนาแน่นมาก” แอนโทเนลลา วิโอลา อาจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยามหาวิทยาลัยปาดัวในอิตาลีกล่าว