'ทรัมป์' ลงนาม 'ห้ามหญิงข้ามเพศ' แข่งขันกีฬาผู้หญิง อ้างผลประโยชน์ 'นักกีฬาเพศหญิง'

'ทรัมป์' ลงนาม 'ห้ามหญิงข้ามเพศ' แข่งขันกีฬาผู้หญิง อ้างผลประโยชน์ 'นักกีฬาเพศหญิง'

'ทรัมป์' ห้าม 'หญิงข้ามเพศ' ลงแข่งขัน 'กีฬาของผู้หญิง' อ้างเพื่อความยุติธรรมและผลประโยชน์สูงสุดของนักกีฬาหญิง จะไม่ยอมทนเห็นผู้ชายเอาชนะนักกีฬาหญิงอีกต่อไป

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารห้ามนักกีฬาข้ามเพศลงแข่งขันกีฬาของเด็กผู้หญิงหรือผู้หญิง

ภายใต้คำสั่งที่ลงนามเมื่อวันพุธ (5 ก.พ.) รัฐบาลจะไม่ให้ทุนแก่สถาบันการศึกษาที่อนุญาตให้ผู้หญิงข้ามเพศเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาของผู้หญิง และใช้ห้องล็อกเกอร์ของผู้หญิง

คำสั่งดังกล่าวยังสั่งไปที่หน่วยงานรัฐโดยตรงให้สนับสนุนกีฬาของผู้หญิงในระดับองค์กร และเรียกประชุมตัวแทนจากองค์กรกรีฑาหลักและหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อส่งเสริม “นโยบายที่ยุติธรรมและปลอดภัยเพื่อประโยชน์สูงสุดของนักกีฬาหญิง"

“เราแจ้งเตือนไปยังโรงเรียนทุกแห่งที่ได้รับเงินภาษีของประชาชนว่า ถ้าให้ผู้ชายเข้าร่วมแข่งขันกีฬาผู้หญิง หรือเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ของผู้หญิง จะถูกสืบสวนขอหาละเมิดมาตรา 4 และเงินทุนจะตกอยู่ในความเสี่ยง” ทรัมป์ กล่าว โดยอ้างถึงกฎหมาย 1972 ที่ห้ามการเลือกปฏิบัติทางเพศในระบบการศึกษา

ในการประกาศยุติสงครามกีฬาหญิง ทรัมป์กล่าวว่า รัฐบาลของเขาจะไม่ยอมยืนดูผู้ชายเอาชนะและต่อสู้กับนักกีฬาหญิง

“ไม่ใช่แค่เราจะไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่มันต้องจบลง และจบลงในตอนนี้ และไม่มีใครที่จะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ เพราะเมื่อผมพูดออกมาแล้ว เราพูดอย่างมั่นใจแล้ว”

ทรัมป์เผยด้วยว่าเขาจะผลักดันคณะกรรมการโอลิมโกสากล ที่ปล่อยให้มีประเด็นการมีส่วนร่วมของคนข้ามเพศในกีฬาเป็นหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศ ให้สนับสนุนการมีส่วนร่วมตามเพศอย่างชัดเจน ก่อนการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2028 ในลอสแอนเจลิส

“เราอยากให้พวกเขาเปลี่ยนทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิก และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องไร้สาระแบบนี้” ทรัมป์ กล่าว

ทั้งนี้ การเข้าร่วมแข่งขันกีฬาของคนข้ามเพศเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดสงครามวัฒนธรรมในสหรัฐในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจำนวนนักกีฬาที่เกี่ยวข้องจะมีน้อยก็ตาม

ด้านชาร์ลี เบเกอร์ ประธานสมาคมกรีฑาของวิทยาลัยแห่งชาติ (NCAA) เผยกับคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐเมื่อเดือนธ.ค. ว่า มีคนข้ามเพศไม่ถึง 10 คน ที่ลงแข่งขันท่ามกลางนักกีฬากว่า 520,000 คนจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ

 

อ้างอิง: Al Jazeera