EOS M6 มิเรอร์เลสของมือโปร

EOS M6 มิเรอร์เลสของมือโปร

 

หลังช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เมื่อค่ายกล้องขวัญใจมือโปรฯ อย่างแคนนอน เริ่มทยอยเปิดตัว “ Mirrorless” ภายใต้ซีรี่ส์ “EOS M” หลากหลายรุ่นออกมา ซึ่งถือเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ที่แคนนอนตั้งใจพัฒนามาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้

ดูเหมือนว่าความพยายามดังกล่าวนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่สามารถพลิกโฉมมิเรอร์เลสของแคนนอนยุคใหม่ให้ได้รับเสียงตอบรับในกลุ่มผู้ใช้งานระดับ “มือโปร” มากขึ้น และยังสามารถเปลี่ยนแปลง “ทัศนคติ” ตลอดจนค่านิยมของผู้ใช้งานกล้องในกลุ่มมืออาชีพที่มีต่อกล้องในกลุ่มมิเรอร์เลสหลายประการ

จากอดีตมิเรอร์เลสเคยถูกวางภาพลักษณ์ว่าเป็นกล้องที่ให้ความสำคัญแต่ในเรื่องความกะทัดรัด ใช้งานง่าย ในสไตล์คอมแพค แต่กลับมีข้ออ่อนด้อย ในเรื่องคุณภาพของไฟล์ภาพที่ยังไม่สามารถนำมาใช้งานในระดับมืออาชีพได้ เฉกเช่น DSLR

แต่ปัจจุบันด้วยวิทยาการและเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาต่อเนื่องตลอด แคนนอนสามารถตีโจทย์ เพื่อปรับปรุงข้อบกพร่อง หรือแก้ไขในจุดที่เรียกว่าเป็น Pain Point ของผู้ใช้งาน และสามารถช่วยยกระดับมิเรอร์เลสที่วันนี้กำลังกลายเป็น “กล้องตัวที่สอง” ของมือโปรฯ มากขึ้น

EOS M6 มิเรอร์เลสของมือโปร

โดยแคนนอนไม่หยุดยั้งในการพัฒนา EOS M ซีรี่ส์อย่างต่อเนื่อง จนวันนี้ หากใครที่อยากลองมองหามิเรอร์เลสระดับคุณภาพ มักจะนึกถึง“Canon EOS M6” ว่าคืออีกตัวเลือกอันดับต้นๆ

ใครจะเชื่อว่าตัวกล้องที่มีน้ำหนักเบาเพียง 390 กรัม แต่กลับมีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่าชั้นของ กล้องโปรระดับดีเอสแอลอาร์ได้

แต่มันก็เป็นไปได้แล้ว...

เพราะในความกะทัดรัดหยิบจับใช้งานง่าย พร้อมด้วยดีไซน์สไตล์คลาสสิกมันกลับเพียบพร้อมและเต็มไปด้วยฟังค์ชั่นที่ทรงพลังที่เทียบเคียงกับกล้องระดับ DSLR ในหลายส่วนทีเดียว

EOS M6 มิเรอร์เลสของมือโปร

ดีไซน์จิ๋ว แต่ประสิทธิภาพแจ๋ว

ความประทับใจแรกของผู้ใช้ เริ่มตั้งแต่การออกแบบ ที่แม้จะมาในรูปโฉมตัวเล็กจิ๋ว แต่ “แจ๋ว” ด้วยการออกแบบเน้นที่การจับถือถนัดมือแถมยังคิดเผื่อคนใช้งาน โดยการออกแบบวางปุ่มต่างๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังใช้กล้องดีเอสแอลอาร์ระดับไฮเอนด์ พร้อมแป้นควบคุม 3 ส่วน เพื่อสะดวกในการปรับตั้งค่าแบบแมนนวลให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์การถ่ายภาพได้อย่างคล่องตัว และยังสามารถเลือกจุดโฟกัสและการจัดองค์ประกอบภาพได้อย่างง่ายดายผ่านหน้าจอแอลซีดีแบบทัชสกรีน ที่ให้การเลือกตั้งค่าต่างๆ ทำให้อย่างเป็นธรรมชาติอีกทั้งยังมีจอแอลซีดีปรับพับได้เพื่อสะดวกในการถ่ายภาพเซลฟี่ เพราะสามารถปรับเอียงขึ้นสูงสุด 180 องศา และปรับเอียงลงต่ำสุด 45 องศา จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพตนเอง

ขณะที่ปุ่มควบคุมการทำงานของ EOS M6 จุดต่างๆ ยังมีการวางผังเหมือนแคนนอน DSLR รุ่นโปร ยิ่งเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับกล้องมืออาชีพได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นวางตำแหน่งให้นิ้วชี้ และนิ้วโป้งมือขวาเข้าถึงได้ง่าย ตามแบบฉบับของกล้องระดับมืออาชีพ อาทิ ก้านเปิด/ปิดกล้องและวงแหวน Quick Control จะจัดวางไว้ที่ด้านขวามือ ในขณะที่แฟลชติดกล้องจะวางไว้ทางด้านซ้ายมือ

คุณสมบัติเด่นระดับโปร

EOS M6 มิเรอร์เลสของมือโปร

ในเรื่องจุดเด่นของประสิทธิภาพจุดสำคัญที่สุด คือในเรื่องของระบบเซนเซอร์ของกล้องที่แคนนอนเลือกใช้เซนเซอร์APS-C ที่สามารถให้ความละเอียดถึง 24.2 ล้านพิกเซล และระบบประมวลผลภาพ DIGIC 7ระดับเดียวกับกล้อง DSLR รุ่นใหญ่ ผลคือคุณภาพของไฟล์ภาพโดยรวมแล้วสามารถใช้งานในระดับมืออาชีพได้

หนึ่งในความเหนือชั้นที่ทำให้ต้องยอมรับว่าEOS M6 มีความ “แตกต่าง”คือการเปลี่ยนมาใช้ระบบออโต้โฟกัสระบบ Dual Pixel CMOS AF ที่ช่วยหาโฟกัสและจับภาพอย่างฉับไวในโหมด Live Viewช่วยให้คุณเก็บภาพได้อย่างแม่นยำ ในทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะใช้เลนส์แบบใดก็ตาม ก็สามารถถ่ายภาพได้มีคุณภาพเทียบเท่าถ่ายด้วยกล้องดีเอสแอลอาร์ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพทิวทัศน์ บุคคล กีฬา หรือวัตถุเคลื่อนที่ ซึ่งจุดนี้เป็นผลจากการพัฒนาของแคนนอนที่สามารถช่วยลบล้างจุดบกพร่องในเรื่องโฟกัสช้าของมิเรอร์เลสรุ่นอื่นๆ ในตระกูลเดียวกัน เรียกว่าแม้แต่ในสภาพแสงน้อย เจ้าM6 ตัวนี้ก็ไม่หวั่น

ซึ่งเลนส์มีให้เลือกแบบชุดเลนส์สองชุด โดยชุดหนึ่งมาพร้อมกับเลนส์ EF-M15-45mm f/3.5-6.3 IS STM และอีกชุดหนึ่งมาพร้อมกับเลนส์ EF-M18-150mm f/3.5-6.3 IS STMและอีกข้อดีเพื่อมือโปร คือยังสามารถนำเลนส์ของกล้อง DSLR ที่เป็นเม้าท์แบบ EF หรือ EF-S มาใช้งานกับกล้องตระกูล EOS M ได้เลย โดยเชื่อมต่อเลนส์เข้ากับกล้อง ผ่านตัวอะแดปเตอร์ EF-EOS M ก็สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแนบเนียนสนิท ทำให้กล้องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมไปถึงออโต้โฟกัส

คล่องตัวสำหรับงานภาพเคลื่อนไหว

ส่วนในโหมดภาพเคลื่อนไหว อันเป็นอีกคุณสมบัติสำคัญของกล้องยุคใหม่ที่จำเป็นต้องมีไปแล้ว

โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนในสายอาชีพที่ทำงานด้านสื่อ บลอกเกอร์ หรือมืออาชีพในสายงานด้านโซเชียลมีเดียแล้วล่ะก็ EOS M6 ตัวนี้สามารถเป็นผู้ช่วยคุณได้ ด้วยคุณภาพการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงระดับ Full HD ที่50p/60pซึ่งตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องจำเป็นต้องใช้พื้นที่เก็บไฟล์และใช้งานตัดต่อที่หนักสิ้นเปลืองพื้นที่เหมือนระดับ 4K

นอกจากนี้ ยังพัฒนาคุณภาพของภาพวิดีโอให้สวยสมบูรณ์แบบขึ้นกว่าเดิม ด้วยระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัวกล้อง Dual อีกทั้งถ่ายวิดีโอแบบแฮนด์เฮลด์ได้คุณภาพดีกว่าเดิมด้วยระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัวกล้อง Dual Sensing IS ซึ่งช่วยให้ภาพวิดีโอที่บันทึกนั้น นิ่งเสมือนใช้อุปกรณ์เสริมระดับมืออาชีพ แม้จะบันทึกภาพขณะเดินอยู่ก็ตาม อีกทั้งยังสามารถเลือกเฟรมเรทได้หลากหลายรูปแบบ 50p/60p, โหมดการบันทึกภาพวิดีโอแบบ HDR และวิดีโอ Time Lapse เป็นต้น

สะดวกสบาย ด้วยโลกแห่งการเชื่อมต่อ

แคนนอน EOS M6 ยังเพิ่มความสามารถด้านการเชื่อมต่อ โดยนอกจากรองรับการใช้งาน Wi-Fi และ NFC แล้ว กล้องรุ่นนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อด้วย Bluetooth แบบประหยัดพลังงานอีกด้วย จึงสามารถเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องกับอุปกรณ์ที่รองรับตราบเท่าที่กล้องยังเปิดการใช้งานอยู่ โดยไม่เปลืองแบตเตอรี่ สะดวกในการใช้งาน เพราะแม้กล้องอยู่ในสถานะ Auto Power Off ก็ไม่ต้องยุ่งยากกับการเชื่อมต่อใหม่หลายรอบ

 อีกทั้งสะดวกในการถ่ายวิดีโอหรือถ่ายภาพในโหมด Bulb เป็นเวลานานโดยสั่งการผ่านสมาร์ทดีไวซ์ที่เชื่อมต่อ นอกจากนี้ตัวกล้องยัง สามารถเปลี่ยนมาใช้ Wi-Fi ให้อัตโนมัติ เพื่อใช้ในการถ่ายภาพในโหมด Live View และการส่งไฟล์ภาพถ่ายและวิดีโอได้โดยไม่ต้องยุ่งยากในการเปลี่ยนฟังก์ชั่น นอกจากนี้ ยังปรับปรุงแอพลิเคชัน Camera Connect ให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น โดยมีฟีเจอร์แสดงสัญลักษณ์การเชื่อมต่อที่เห็นชัดขึ้นกว่าเดิม และสามารถใช้แอปจัดหมวดหมู่ไฟล์ภาพในกล้องได้

นาทีนี้ใครจะปฏิเสธว่าEOS M6 ไม่เหมาะสมที่จะเป็นกล้องสำรอง สำหรับตากล้องมืออาชีพที่ใช้ DSLR ของค่าย Canon และยังตอบโจทย์นักเดินทางที่ต้องการความโปรและดีไซน์สวยไม่ซ้ำใครในแบบ Canon