นิสสัน ดึงเทคโนโลยี MR ช่วยผลิต EV แก้ปัญหาขาดแรงงาน ลดเวลาทำงาน
นิสสัน มอเตอร์ ญี่ปุ่น นำเทคโนโลยี Mixed Reality (MR) เพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต ประเดิมสายการประกอบระบบขับเคลื่อน รถยนต์ไฟฟ้า (e-powertrain) แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ลดเวลาอบรม ทำงาน
เรื่องของ เมทาเวิร์ส เป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนายอดนิยมในยุคนี้
เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (VR) และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับโลกเสมือนจริง เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ทำให้มองเห็นและสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีอยู่จริงด้วยการผสมผสานโลกดิจิทัลเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง
ทุกวันนี้มีคนนำเทคโนโลยี เสมือนจริงไปใช้กันจริงจังแล้ว แต่ก็มีหลากหลายรูปแบบ
ที่ญี่ปุ่น ผู้ผลิตรถรายใหญ่อันดับ 2 อย่างนิสสัน นำเทคโนโลยีที่เรียกว่า Mixed Reality (MR) เข้ามาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต
ก่อนหน้านี้นิสสันได้เริ่มใช้เทคโนโลยีนี้สำหรับการฝึกอบรมในบางสายการผลิต แต่วันนี้เริ่มนำ MR มาใช้ในสายการประกอบระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้า (e-powertrain)
ทีนี้ในบรรดาโลกเสมือนจริง ไมว่าจะเป็น VR, AR หรือ MR มันต่างกันอย่างไร
- เสมือนจริง (VR)
VR หรือ Virtual Reality เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ใช้สัมผัสโลกเสมือนจริงจากมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง ผ่านการสวมใส่อุปกรณ์ VR ถูกใช้อย่างแพร่หลายในด้านต่างๆ เช่น ความบันเทิง เกม และการเดินทางเสมือนจริง
- โลกแห่งความจริงที่ถูกเติมรายละเอียด (AR)
AR เป็นการเติมเนื้อหาดิจิทัลเข้าไปในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อให้ผู้ใช้งานมองเห็นได้ สามารถใช้เพื่อเสริมข้อมูลหรือนำตัวละครเสมือนจริงเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง
AR ถูกใช้ในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงเกมบนสมาร์ทโฟน และระบบนำทาง
- ความเป็นจริงผสม (MR)
MR คือการผสมผสานระหว่าง VR และ AR โดยที่ MR มีคุณสมบัติการเชื่อมต่อ หรือ ซิงโครไนซ์ระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกเสมือนจริง ทำให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสและเคลื่อนย้ายวัตถุเสมือนจริงไปรอบๆ ได้โดยใช้มือของตัวเอง
เทคโนโลยีเหล่านี้เรียกรวมกันว่า Cross Reality (XR)
สำหรับการเคลื่อนไหวของนิสสันนั้น นำแว่นตา MR มาใช้ในการฝึกอบรมขั้นตอนการตรวจสอบสายการประกอบระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าในโรงงานนิสสันที่เมืองโทชิกิ ประเทศญี่ปุ่น
ขั้นตอนการตรวจสอบประกอบด้วยขั้นตอนการตรวจเช็ค 30 รายการ โดยก่อนหน้านั้นในสายการผลิต จะมีอาจารย์มาฝึกอบรมพนักงานใหม่แบบตัวต่อตัว โดยพนักงานใหม่เองได้รับมอบหมายให้ศึกษาคู่มือและวิดีโอต่างๆ ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาอย่างมากเนื่องจากความซับซ้อนของงานที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้นจึงมีการทดลองนำ MR เข้ามาใช้
เมื่อสวมแว่นตา MR รูปภาพและข้อความจะขึ้นซ้อนบนระบบส่งกำลังไฟฟ้าตัวจริง ทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถเข้าใจงานได้ทันที และสามารถตรวจสอบความเข้าใจของตนเองได้โดยชี้ไปตรงส่วนที่จะตรวจเช็ค
นอกจากนี้นิสสันยังทำงานร่วมกับ JATCO ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีติดตามการมองเห็น (eye-tracking technology) ฟังก์ชันเหล่านี้ทำให้สามารถบันทึกการมองเห็นของผู้เข้าอบรมได้แม้ตอนที่อยู่ลำพัง ทำให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความเข้าใจได้ในภายหลัง
อีกหนึ่งความล้ำจากเทคโนโลยีนี้คือ แม้เมื่อระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าเครื่องจริงไม่สะดวกต่อการฝึกฝน ก็สามารถดูโมเดล 3 มิติ ได้ผ่านแว่นตาเสมือนจริง
นิสสันระบุว่าการนำเทคโนโลยีที่นำมาใช้นี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ระยะเวลาการเรียนรู้ลดลงครึ่งหนึ่ง และระยะการฝึกสอนลดลงถึง 90%
โดยระยะเวลาฝึกอบรมลดจาก จาก 10 วัน เหลือ 5 วัน ระยะเวลาสอน จาก 10 ชั่วโมง เหลือ 1 ชั่วโมง
อาจมีคำถามว่าทำไมถึงนำ MR มาใช้ ซึ่งหลายคนอาจตอบเป็นการพัฒนาเทคโนโลยี
แต่จริงๆ คำตอบที่น่าสนใจก็คอ ที่ญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ที่มีสาเหตุมาจากอัตราการเกิดต่ำและเข้าสู่สังคมสูงอายุ
อีกเหตุผลหนึ่งคือยานพาหนะในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น อัจฉริยะมากขึ้น และมีระบบการเชื่อมต่อที่พัฒนามากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่พนักงานทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสะดวกสบายและพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของตนได้
“โรงงานของเราเป็นโรงงานนิสสันแห่งแรกที่ผลิตมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นกระบวนการตรวจสอบจึงเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับพวกเราทุกคน” เขากล่าว "ระบบใหม่มีประโยชน์เพราะทุกคนเป็นมือใหม่" มาซาฮิโตะ อิเดะ ผู้ฝึกสอน กล่าว
และยังระบุว่าถึงแม้จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่มันจะไร้ความหมายหากเราไม่ได้ใช้มันอย่างต่อเนื่อง เราสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานด้านการพัฒนาหลายครั้งจนกระทั่งเราพอใจกับไซต์งานและสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ