BYD ตั้งเป้าผลิต 1.5 แสนคัน หนุนไทยฮับส่งออก EV ระดับโลก

BYD ตั้งเป้าผลิต 1.5 แสนคัน หนุนไทยฮับส่งออก EV ระดับโลก

“ดับเบิลยูเอชเอ กรุ๊ป” เซ็นสัญญาซื้อขายที่ดิน 600 ไร่ จ.ระยอง แปลงใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี กับ BYD ผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าจากจีน ผุดโรงงานผลิตรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้าแห่งแรกนอกจีน คาดเริ่มเดินเครื่องปี 2567 กำลังผลิต 1.5 แสนคันต่อปี หนุแผนไทยฮับผลิตรถอีวีระดับโลก

ท่ามกลางราคาน้ำมันทรงตัวในระดับที่สูงมากและยังไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนตัวลง ทำให้ผู้บริโภคเริ่มหาทางเลือกใหม่เพื่อการเดินทางอย่างประหยัดและสอดคล้องกระแสการไม่ปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศโลก รถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกและทางรอดของผู้บริโภคในยุคนี้

นายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้ทำการค้นหาและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จึงตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยซึ่งถือเป็นการขยายการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกนอกประเทศจีน ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งเป็นตัวเลือกที่มีความเหมาะสมที่สุด ด้วยปัจจัยหลายประการ ประกอบไปด้วยทำเลที่ตั้งและชื่อเสียงของบริษัท ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของภูมิภาค ที่มีระบบสาธารณูปโภคและบริการระดับเวิล์ดคลาสระบบการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง การขับเคลื่อนนโยบายการลงทุนของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นโยบายสนับสนุนการผลิตอีวีในประเทศของภาครัฐ รวมถึงทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพและซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เข้มแข็งในประเทศ

สำหรับการลงทุนในระยะแรก บีวายดี ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มูลค่า 17,891 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าจำนวน 150,000 คันต่อปีเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนและยุโรป

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2573 ไทยจะสามารถผลิตรถอีวีได้มากกว่าเป้าหมายนโยบาย 30@30 โดยจะมีสัดส่วนการผลิตเป็น 50% ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมด ในขณะที่ปี 2579 อีโคซิสเต็มและสถานีอัดประจุไฟฟ้าของไทยจะสามารถรองรับการใช้รถอีวีได้ 1.2 ล้านคัน อีกทั้งเชื่อว่าไทยจะสามารถเป็นฮับของการผลิตรถอีวีในระดับโลกได้อีกด้วย  

แผนผลิตเน้นตลาดในประเทศ

“เราหวังว่าจะมีความสัมพันธ์ระยะยาวอันดีร่วมกับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ต่อไปในอนาคต โดยบริษัทจะให้ความสำคัญที่ตลาดรถยนต์ประเภทแบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) ในประเทศไทยก่อนพร้อมกับศึกษาความเป็นไปได้สำหรับการลงทุนอื่นๆ อาทิ การผลิตแบตเตอรี่ และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด”

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป กล่าวว่า การลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจและเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินกับ บีวายดี ที่ถือเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปีของดับบลิวเอชเอ

รวมทั้งยังเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทยที่ได้ต้อนรับบริษัท บีวายดี ผู้นำตลาดรถอีวีของโลกเข้ามาตั้งฐานการผลิตนอกประเทศจีนแห่งแรกในไทย

“นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 เป็นนิคมฯ เปิดใหม่ โดยมีพื้นที่เฟสแรก 1,281 ไร่ที่บริษัทเร่งเตรียมการตั้งแต่ปี 2564 เนื่องจากคาดการณ์ว่าดีมานต์ของนักลงทุนจะทะลักเข้ามาในปีนี้ รวมถึงปี 2566 ประเมินว่าจะมีการลงทุนเข้ามามากกว่าเดิม ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 เริ่มเห็นการภาพการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป โดยจะเห็นการขยายการลงทุนของสหรัฐยุโรป และญี่ปุ่นมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยภาพรวมการลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุปโภคบริโภค (Consumer Product) และอิเล็กทรอนิกส์ระดับไฮเอนด์”

เตรียมเพิ่มที่ดินรับอุตฯเป้าหมาย

ทั้งนี้ ภายในนิคมฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมในการดึงดูดการลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve Industry) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ด้วยระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน แพลตฟอร์มสมาร์ทไมโครกริดสำหรับจ่ายไฟฟ้าพลังงานทดแทน และทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ในโครงการอีอีซี นอกจากนี้ยังมีความพร้อมในการขยายพื้นที่เฟส 2 อีก 500 ไร่ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) และสิทธิประโยชน์การลงทุนจากบีโอไอ คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 2-3 ปีนี้ และพร้อมรองรับการลงทุนคลัสเตอร์การผลิตอีวีที่จะตามเข้ามาอีกมาก  

“การซื้อขายที่ดินในครั้งนี้ ยังเป็นการตอกย้ำจุดแข็งของประเทศไทย ที่มีศักยภาพดึงดูดนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ๆ ทั้งจากบริษัทผู้ผลิตอีวีท็อป 5 ของประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการก้าวสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำนวัตกรรมของประเทศไทย”

BYD ตั้งเป้าผลิต 1.5 แสนคัน หนุนไทยฮับส่งออก EV ระดับโลก นางสาวจรีพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในมุมของผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม มองเห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนที่ให้ความสนใจประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีความแข็งแกร่งของซัพพลายเชนอุตสาหกรรมยานยนต์เนื่องจากไทยเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของโลกหลายบริษัท

ปัจจุบัน บีโอไอได้อนุมัติโครงการยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 26 โครงการจาก 17 บริษัท คิดเป็นยอดกำลังการผลิตรถไฟฟ้า 830,000 คัน และคาดการณ์ว่าภายในต้นปี 2566 ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนหนึ่งล้านคัน และภายในปี 2573 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะมีสัดส่วน 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของประเทศไทย หรือ 700,000 คันต่อปี