เอ็มจี ผุดโรงงาน 'ชิ้นส่วน- แบตเตอรี' รับแผนผลิต EV ในไทย

สำหรับความคืบหน้าของโครงการประกอบแบตเตอรี ล่าสุด บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์  (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์พื้นที่ ที่เรียกว่า NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวโรงงานประกอบรถยนต์ เอ็มจี ในปัจจุบันที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 437.5 ไร่

โดยพื้นที่ดังกล่าว ปัจจุบัน เอ็มจี ใช้งานไปแล้วประมาณ 300 โร่ สำหรับการประกอบรถยนต์เอ็มจี ด้วยกำลังการผลิต 100,000 คัน/ปี ประกอบด้วย 

• โรงงานประกอบตัวถัง (General Assembly Shop) 
• โรงงานพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) 
• โรงผลิตตัวถัง (Body Shop)

ส่วนการวางศิลาฤกษ์ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK จะใช้พื้นที่ประมาณ 75 ไร่ โดยในพื้นที่ดังกล่าวจะมีทั้ง

• อาคารโรงงานสำหรับการพัฒนาชิ้นส่วนโมดูลแบตเตอรี่ 
• ไลน์การผลิตแบตเตอรี่
• พื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับการประกอบรถยนต์เอ็มจีร่วมกับพันธมิตร 
• เพิ่มลานจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์และคลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่ง  

โครงการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในอนาคต ด้วยงบลงทุนมากกว่า 500 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 ระยะการก่อสร้าง โครงการระยะแรกตั้งเป้าแล้วเสร็จพร้อมใช้งานภายในเดือนตุลาคม 2566 

จ้าว เฟิง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด เปิดเผยว่า การดำเนินการต่งๆของเอ็มจี อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ ONE BELT ONE ROAD จากจีนที่มีเป้าหมายหลัก คือการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างจีน กับประเทศต่างๆ 

นโยบายการสนับสนุนการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ 

โดยหนึ่งในโครงการที่สำคัญในการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมหลักของไทย คือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ  EEC (Eastern Economic Corridor) 

ทั้งนี้การเข้าสู่ตลาดเมืองไทยของเอ็มจี เริ่มตั้งแต่ปี 2556 เมื่อ SAIC MOTOR CORPORATION และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมก่อตั้ง บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เพื่อผลิตรถยนต์แบรนด์ เอ็มจี ในประเทศไทย 

ปัจจุบันมีรถยนต์ เอ็มจี วิ่งในท้องถนนแล้วกว่า 180,000 คัน 

ในด้าน อีวี ปัจจุบัน เอ็มจี มีรถจำหน่ายในไทย 4 รุ่นคือ MG ZS EV, MG EP Plus, MG4 และ MG ES

โดยทุกรุ่นเข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการใช้งานอีวีระยะเร่งด่วนของภาครัฐ ที่ได้รับสิทธิพิเศษคือ ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% และเงินสนับสนุนผู้ซื้อคันละ 150,000 บาท ซึ่งตามข้อกำหนดของภาครัฐ ผู้ร่วมโครงการจะต้องมีแผนการประกอบ อีวี ในไทย มีเงื่อนไขคือ

• เริ่มต้นประกอบปี 2567 จะต้องประกอบในจำนวนเท่ากับรถที่ใช้สิทธิในโครงการ 
• เริ่มประกอบปี 2568 จะต้องผลิต 1.5 เท่า ของรถที่เข้าร่วมโครงการ เช่น หากใช้สิทธิ 10,000 ต้องประกอบ 15,000 คัน เป็นต้น